ต้อนรับต้นปีด้วยหน้าปกดิจิทัลฮาร์เปอร์ส บาซาร์ ประเทศไทย ประจำเดือนมกราคม พร้อมพูดคุยกับ 6 ศิลปินมากความสามารถ ‘แอลลี่-อชิรญา นิติพน’, ‘เจ้าขุน-จักรภัทร วรรธนะสิน’, ‘มาเบล-สุชาดา สอนพันธ์’, ‘ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล’, ‘มิลลิ-ดนุภา คณาธีรกุล’ และ ‘วิคเตอร์-วรเมธ กอนุประพันธ์’ ที่มาพร้อมกับไฟน์จิวเวลรี่สุดโมเดิร์นในคอลเลกชั่น COCO CRUSH จาก CHANEL

‘แอลลี่-อชิรญา นิติพน’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกประทับใจแล้วอยากรีแคปให้ชาว BAZAAR ทุกคนได้ฟัง หรือว่า look back to ไหมคะ?
Ally: จริงๆ ก็มีเยอะมากๆ เลยค่ะ ต้นปีปล่อยสาธุ ซีรีส์เรื่องแรกของแอลี่ แล้วก็เป็น Netflix Original เรื่องแรกที่ได้รีนิวสําหรับซีซั่น 2 ค่ะ ก็จะออกในปีหน้า แล้วหลังจากนั้นก็มี Make it hot ค่ะ ที่ feat กับ Pink Sweat$ คือเป็นแบบอินเตอร์เนชั่นแนล คอลาบอเรชั่น กับศิลปินอเมริกาครั้งแรกของแอลลี่ค่ะ หลังจากนั้นก็ได้ไปต่างประเทศเยอะมากๆ จริงๆ มีไปทริปต่างประเทศกับ CHANEL ด้วยค่ะ ได้ไปเจอคนมากมาย หลังจากนั้นมีปล่อยเพลง Oh my ก็เป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลของแอลลี่ แล้วก็ได้ไปเพอร์ฟอร์มที่เกาหลีด้วยค่ะ ปีนี้มีไปเฟสติวัลที่เกาหลีสองรอบเลย มีทั้งเป็นไทยเฟส แล้วก็เป็นเฟสติวัลแบบโชว์เคสอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็รู้สึกว่าเป็นปีที่ได้เดินทางไปหลายประเทศมากๆ ใช้ชีวิตคุ้มมากๆ ค่ะ แล้วก็มีเพอร์ฟอร์มที่ฝรั่งเศสด้วย เป็นอะไรที่ใหม่ๆ มาก จีนด้วยค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าได้ออกไปสู่สายตาในระดับสากลมากขึ้นค่ะ เราก็ได้เรียนรู้ภาษาหลายๆ ภาษาเพื่อเอาไปสื่อสารกับแฟนคลับ ก็ดีใจมากๆ ค่ะ
BZ: มีดาราคนไหนที่ได้เจอปีนี้แล้วเรารู้สึกแบบดีใจและตื่นเต้น หรือว่าใครที่เราเจอแล้วรู้สึกว่าแบบที่สุดของปีบ้างคะ
Ally: Pink Sweat$ ค่ะ คือที่สุดแล้ว เพราะว่าหนูฟังเพลงเขามาตั้งแต่หนูเป็น trainee ค่ะ หนูเป็นแฟนคลับเขา แล้วตอนช่วงหนูเป็น trainee เวลาหนูเศร้าหรือเหงาก็ฟังเพลง Pink Sweat$ แล้วหนูก็ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้เจอเขาในชีวิตจริง แล้วร้องเพลงกับเขา เราอยู่ในจุดที่เราเป็นแฟนคลับเขามากๆ การที่ได้ทํางานกับไอดอลมันรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ด้วย แล้วก็ไม่รู้ว่าเขายอมมาทํางานกับเราได้ยังไง
BZ: แล้วตอนเจอเขารู้สึกยังไง
Ally: เขาน่ารักมากเลยค่ะ เขา humble มาก มันว้าวมากๆ ที่เขาประสบความสำเร็จขนาดนี้ แต่เขาก็ยังถ่อมตัวมากๆ แล้วก็น่ารักกับทีมงานค่ะ very flexible ในการทํางาน เลยรู้สึกว่าการเป็น global star มันคือความ humble แบบนี้ค่ะ
BZ: แอลลี่ถือได้ว่าเป็นนิวเจนเนอเรชั่นคิดว่ามีอุปสรรคไหนที่มันท้าทายเรา แล้วมันยากสําหรับเรามากเลย
Ally: จริงๆ หนูว่าปัญหานี้มันอาจจะไม่ใช่นิวเจนเนอเรชั่นนขนาดนั้น เพราะหนูว่าทุกเจนเนอเรชั่นก็คงเจออะไรคล้ายๆ กันนะคะ แต่สําหรับหนูเองในช่วงนี้มันเป็นความกดดันในการทำงานมากกว่าค่ะ ว่าเราจะทํายังไงให้ทุกครั้งที่เราออกเพลงออกงานอะไรก็ตามให้มันคุณภาพดี ให้มันเป็นที่ยอมรับในวงกว้างอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็ให้คนได้เห็นศักยภาพของเรา เพราะหนูรู้สึกว่าว่าเดี๋ยวนี้ด้วยเทคโนโลยี ด้วยโซเชียลมีเดียทุกอย่างมันไปเร็วมากๆ แล้วการที่เราจะรักษาความสำเร็จของเรา หรือรักษาความเป็นตัวเองในวงการมันก็ยากขึ้นด้วย เพราะว่าเหมือนความชอบของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นความกดดันอย่างหนึ่งค่ะ
BZ: เส้นทางใหม่ๆ ที่แฟนๆ จะได้เห็นจากแอลลี่ แอลลี่คิดว่าจะเสิร์ฟอะไรสําคัญๆ ให้บ้างคะ
Ally: ยังไงก็มีผลงานเพลงออกมาเรื่อยๆ ค่ะ แต่หนูรู้สึกว่าก็คงนําเสนอในแนวทางใหม่ๆ หนูยังไม่รู้ว่าแนวทางนั้นคืออะไรเหมือนกัน แต่ว่าก็คงจะมีแนวทางใหม่ๆ ที่หวังว่าทุกคนจะชอบค่ะ หนูพยายามทําอะไรแตกต่างไปเรื่อยๆ เพราะหนูรู้สึกว่าในฐานะที่หนูเป็นศิลปินเดี่ยวด้วย หนูอยู่ในวงการมา 4-5 ปีแล้ว หนูก็อยากทําอะไรให้แฟนคลับเขาได้เห็นความแตกต่างบ้าง แล้วก็หวังว่าจะได้ไปหลายๆ ประเทศค่ะ ได้เจอคนจากหลายๆ ประเทศ เพราะว่าการได้เรียนรู้ industry ของแต่ละประเทศ มันช่วยให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้นมากๆ ค่ะ
BZ: นอกจากการเป็นนักแสดงและนักร้องแล้ว มีอะไรที่เราอยากทําอีกไหมคะ
Ally: จริงๆ อยากช่วยยายทําร้านอาหาร ยายหนูมีร้านอาหารแล้วหนูเคยนั่งทํามู้ดบอร์ดไว้แล้วว่าอยากให้ทําร้านเป็นยังไง แต่ด้วยความที่เขาก็ทำร้านของเขามานาน เขาก็คงความชอบของเขาน่ะค่ะ เลยรู้สึกว่าสักวันหนึ่งอยากจะ convince เขาว่าอยากจะช่วยดูร้านนะ ช่วยทําเมนูให้ หรือว่าอยากจะทําเบเกอรี่ด้วย นั่นคือสิ่งที่อยากทําแต่หนูทําไม่เป็นนะคะ แต่หนูชอบกินขนมมากเป็นคนกินขนม ถ้าใครรู้จักหนูคือจะรู้ว่ากินขนมแทนข้าวค่ะ ก็คืออยากทำขนมค่ะ

‘เจ้าขุน-จักรภัทร วรรธนะสิน’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกว่ามันคือที่สุดของปี แล้วเราอยากจำอยากจะแชร์ให้ชาว BAZAAR ทุกคนเผื่อตามไปรีแคปไหมคะ
Jaokhun: ผมได้ปล่อยซิงเกิ้ลครับ ได้ปล่อยเพลงปีนี้ชื่อเพลงนักศึกษาครับ เป็นโปรเจ็กต์ที่ผมแฮปปี้มากครับ ผมใช้เวลาอยู่กับโปรเจกต์นี้นานเลยครับ เหมือนมันจะมีเรื่องหลายๆ แฟคเตอร์ที่ทําให้เราอาจจะปล่อยไม่ได้เลย หรืออาจจะยังให้ต้องดีเลย์ หรือว่ากลับไปอัดใหม่อะไรแบบนี้ครับ แต่ว่าอาเตียน 0.48 face off ได้มาปล่อยปีนี้ครับ ใช้เวลานานเหมือนกันครับ
BZ: ความรู้สึกหลังจากที่เราปล่อยซิงเกิ้ลเป็นอย่างไรบ้างคะ
JK: ความรู้สึกหลังจากที่ปล่อยแล้ว เราก็รู้สึกโล่งขึ้นครับ โอ้ได้ปล่อยไปให้แฟนๆ หรือพี่ๆ น้องๆ นักศึกษาทุกคนได้ฟังผลงานนี้กันครับ ก็รู้สึกดีใจมากครับ ถ้าเป็นในเรื่องงานก็ถือเป็นหนึ่งในเบสเลยครับ
BZ: ปีถัดไป 2025 หรืออีก 5 ปี 2030 ตอนนี้ขุนอายุ 21 คิดว่าอีก 5 ปีจะมีอะไรที่อยากทำให้สำเร็จภายใน 5 ปีนี้บ้างคะ
JK: ผมอยากมีทัวร์เป็นของตัวเองครับ เริ่มทัวร์รับงานเดี่ยวฟูลโชว์ แล้วก็มีอัลบั้มเป็นของตัวเองครับ แล้วก็ได้เล่นหนังหรือละครด้วยครับ
BZ: แล้วมองภาพตัวเองอีก 5 ปีข้างหน้า เจ้าขุนในวันนั้นกับเจ้าขุนในวันนี้เราจะทําอะไรอยู่
JK: ผมหวังว่าผมก็ยังจะตั้งใจทํางาน แล้วก็ดูแลพี่ๆ น้องๆ ครอบครัวทุกคนแล้วก็รักกันเหมือนเดิมครับ แล้วก็หวังว่าจะไม่ขี้เกียจ อยากให้ hard work ครับ
BZ: มีเป้าหมายอะไรที่เราตั้งเป้าว่าอยากทําให้ได้สูงสุดเลย
JK: ผมอยากให้สุขภาพกลับมาแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็อยากปล่อยอัลบั้มครับ อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง
BZ: เราเป็นนิวเจนเนอเรชั่นที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จประมาณนึง อยากรู้ว่าขุนกว่าจะมาถึงจุดนี้เจออุปสรรคไหนไหมคะที่มันท้าทายในการเป็นเราจนถึงทุกวันนี้
JK: จริงๆ ผมรู้สึกว่าผมอาจจะอยู่ในสายตาของประชาชนตั้งแต่เกิดเลย เขาก็น่าจะเห็นว่าผมผ่านอะไรมาบ้างหรือว่ามีเรื่องราวอะไรที่ทําให้ผมได้มาอยู่ถึงจุดนี้ แล้วทำให้ผมเป็นคนแบบนี้ครับ ผมว่าทุกคนก็น่าจะเห็นมาตลอดว่าเป็นข่าวเป็นอะไรแบบนี้ก็ประมาณนั้น แล้วก็อาจจะมีบางเรื่องที่คนไม่ค่อยเห็น แต่ว่าส่วนมากมันก็จะอยู่ในนั้นอยู่แล้ว ผมว่าทุกคนก็น่าจะเห็นครับ
BZ: แล้วคิดว่าสิ่งนั้นมันเป็นอุปสรรค หรือว่าเป็น motivation ของเรา
JK: ผมว่ามันมองได้สองแบบเลยครับ มันอยู่ที่ความคิดของตัวเองด้วยว่าจะมองให้มันเป็นความ motivateเราให้เราไปทํางานหนักขึ้น หรือว่าให้เราพยายามหนักขึ้น หรือว่าถ้าเรามองไม่ดีมันก็จะทําให้เรามองว่าโอ้ชีวิตเราทำไมมันยากจัง แต่ผมว่ามันอยู่ที่ความคิดของเราครับ
BZ: แล้วมีวิธีการคุยกับคนที่ต่างเจนเนอเรชั่นกันอย่างไรคะ
JK: ผมรู้สึกว่าอาจจะพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะทุกคนคงไม่เข้าใจเราแต่ผมว่าถ้าเขาเข้าใจเขาก็จะเข้าใจ แต่ผมจะไม่พยายามอธิบายหรืออะไรไปมากขนาดนั้นครับ
BZ: เส้นทางใหม่ตอนนี้บทบาทของเราคือเราเป็นศิลปิน มีอะไรที่อยากทำเพิ่มอีกไหมคะ
JK: ตอนนี้แค่พยายามเป็นศิลปินก็เหนื่อยมากแล้วครับ จริงๆ ผมอยากลองการแสดงมากเลยครับ อยากลองเข้าไปในสนามหรือ industry ของการแสดงมากครับ ตอนนี้ที่ผมคิดไว้ว่าอายุ 21 ผมอยากลองเล่นหนังหรือซีรีส์ครับ
BZ: อยากเล่นแนวไหนหรือว่ามีบทบาทไหนที่เราอยากลองเล่นคะ
JK: ผมยังไม่ค่อยได้รีเสิร์ชหรือเข้าไปทํางานในส่วนนี้มาก ผมเลยไม่รู้ว่าผมเหมาะกับแนวไหนหรือว่าอะไรแบบนี้ แต่ว่าก็อยากอยากลองครับ
BZ: แล้วอะไรที่ทําให้เราอยากลองท้าทายศาสตร์อีกแขนงหนึ่งคะ
JK: ผมเห็นเพื่อนๆ หรือพี่ชายผมก็เพิ่งเล่นหนังเสร็จไป ผมดูแล้วเหมือนมันท้าทายดีครับ เหมือนมันดูเหนื่อยแต่เวลาพอมันตอบแทนมาแล้วเหมือนมันแฮปปี้มากเลยครับ เหมือนเวลาเราได้รีวอร์ดมา มันรู้สึกว่าเราจะภูมิใจในอันนี้มากเลยครับ
BZ: ตัวตนของขุนกับความเป็นนิวเจนเนอเรชั่นมันมีความลิงค์กันอย่างไร คิดว่าเราเป็นนิวเจนเนอเรชั่นขนาดไหน
JK: ผมรู้สึกว่าผมเป็นนิวเจนเนอเรชั่น แต่อาจจะไม่ได้เป็นนิวเจนเนอเรชั่นที่แบบ 14, 15, 16 ประมาณนั้นนะครับ แต่ผมก็รู้สึกว่าพอเข้าใจในเจนเนอเรชั่นนั้นอยู่ครับ
BZ: แล้วเราคิดว่ามีความคิดไหนของเราที่มันมีความโตกว่าอายุเราไหมคะ
JK: ผมรู้สึกว่ามันจะมีบางมุมที่ผมรู้สึกว่าโตกว่าอายุ แต่ว่ามันก็จะมีบางมุมที่รู้สึกว่าผมเด็กกว่าอายุเหมือนกัน มันแล้วแต่ว่าจะเป็นมุมมองเรื่องไหน แต่ถ้าเรื่องทํางานผมรู้สึกว่าผมก็พอโตกว่าอายุนิดหน่อย แต่ว่าถ้าเรื่องปัญญาอ่อนก็เด็กมากด้วยนะครับ

‘มาเบล-สุชาดา สอนพันธ์’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกประทับใจแล้วเราจำไม่ลืมไหมคะ
Mabelle: อันที่จําไม่ลืมของปีนี้น่าจะเป็นคอนเสิร์ต Pixxie ที่เพิ่งจัดไปล่าสุดค่ะ เป็นคอนเสิร์ตแรกของ Pixxie เลยค่ะ แล้วก็ประทับใจตรงที่วันนั้นมันมีความสุขมากเลยค่ะ ยังจดจําความสุขนั้นได้ ช่วงนั้นเครียดมากเลยค่ะ กลัวบัตรขายไม่หมด เพราะว่าเหมือนมันก็กดดันด้วยค่ะ เหมือนไม่รู้ว่า Pixxie 3 คนจะ hold คนดูเป็นพันคนอยู่ไหม เราจะร้องไหวไหม เต้นไหวไหมตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมง คุยก็คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วมีร้องเดี่ยวด้วย ต้องจําท่าใหม่ด้วย ก็ค่อนข้างเครียด แต่ว่าก็หายเหนื่อยเลยค่ะวันที่เป็นคอนเสิร์ตจริงๆ ใช้เวลาซ้อมหนึ่งเดือนค่ะ แต่ที่เข้มข้นจริงๆ จะเป็น 15 วันหลังก่อนที่จะมีคอนเสิร์ตค่ะ คือไม่เจอใครเลย วันๆ เจอแต่ Pixxie ค่ะ
BZ: เรากําลังจะเข้าสู่เดือนมกราคม ปี 2025 ปี อีก 5 ปีเราจะปี 2030 มีเป้าหมายอะไรที่เรารู้สึกว่าเราอยากทําให้สําเร็จภายใน 5 ปีนี้ไหม
MB: อีก 5 ปี หนูก็ใกล้เลข 3 แล้ว จริงๆ หนูตั้งเป้าไว้ว่าหนูอยากพาแม่หนูไปเห็นหิมะสักครั้งหนึ่ง เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่หนูอยากเก็บเงินเยอะๆ จนเราไม่ต้องคิดถึงเรื่องเงินตอนที่พาเขาไปต่างประเทศแล้วค่ะ เพราะว่าแม่หนูไม่เคยขึ้นเครื่องบินไม่เคยไปต่างประเทศเลยก็เลยเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่อยากพาเขาไปเห็นค่ะ
BZ: แล้วเห็นภาพตัวเองใน 5 ปี เป็นอย่างไรคะ
MB: ยากนะ คําตอบนี้ยาก เพราะว่าตอนนี้หนูยังมีความสุขกับสิ่งนี้อยู่มั้งคะ แล้วหนูก็คาดหวังว่าอีก 5 ปี หรือว่าในอนาคตยังจะมีความสุขแล้วยังชอบทําในสิ่งนี้อยู่ อยากเก่งขึ้น อยากทําสิ่งที่ตัวเองทําอยู่ให้มันพัฒนามากขึ้นค่ะ
BZ: แล้วมีเป้าหมายอะไรไหมคะ ที่อยากทำใน 5 ปี
MB: อันนี้เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างไกลสําหรับพวกหนูมากๆ คือ Pixxie อยากไป Coachella ค่ะ แบบสัมภาษณ์บ่อยมาก เพราะว่ามันเป็นเวทีที่ความฝันของพวกหนูเหมือนกันค่ะ ตอนช่วงเทรนกันว่า เอ้ย! สักครั้งในชีวิตอยากจะไปถึงตรงนั้นให้ได้ ไม่ว่าเราจะไปเป็นคนดูหรือว่าไปเป็นคนโชว์จริงๆ ก็ได้ แต่ว่ามันเป็นความฝันที่ไกลมากๆ เลยค่ะ แต่ว่าเรารู้สึกว่าการที่ตั้งความฝันไกลมันไม่จําเป็นว่าเราต้องถึงเป้าหมายนั้น แต่ว่าระหว่างทางมันทําให้เราได้เรียนรู้แล้วก็มีเป้าหมายเพื่อที่จะทําให้เราพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นค่ะ
BZ: ถือว่าเป็นหนึ่งในนิวเจนเนอเรชั่นที่ประสบความสําเร็จ เราคิดว่ามีอุปสรรคไหนที่มันท้าทายเราจนกว่าจะมาถึงปัจจุบันไหมคะ
MB: ของหนูคือน่าจะเป็นการไม่ได้อยู่ที่ที่ของตัวเองนะคะ เรารู้สึกว่ากรุงเทพฯ มันไม่ใช่ที่ของหนู มันไม่ใช่บ้านของหนู มันไม่มีคนรอบตัวที่เรารู้สึกว่านี่คือครอบครัวค่ะ หมายถึงว่าครอบครัวหนูอยู่ที่จันทบุรีแล้วพอต้องย้ายที่มามันเคว้งไปหมดเลยค่ะ หนึ่ง คือกดดันเรื่องเดบิวต์ของ Pixxie แล้วก็การฝึกที่ค่อนข้างหนักแล้วก็อยู่ตัวคนเดียว การไปไหนมาไหนหรือว่าการเดินทางก็ค่อนข้างยากสําหรับหนูมาก มันคือการปรับตัวครั้งใหม่แล้วก็ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตหนูเลยมั้งคะ ตอนที่ต้องย้ายมาใช้ชีวิตคนเดียวค่ะ
BZ: มีวิธีการสื่อสารกับคนต่างเจนเนอเรชั่นกับเราอย่างไร ให้เขาเข้าใจในความเป็นเรา
MB: หนูว่าการเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งสําคัญสําหรับพอยท์นี้ค่ะ เพราะว่าเราก็ไม่เคยเป็นเขาแล้วเขาก็ไม่ได้มาเป็นเรา เราก็เลยไม่รู้ เวลาหนูจะพูดหรือว่าเวลาจะสื่อสารกับคนต่างเจนเนอเรชั่น เราต้องคิดว่าถ้าเราเป็นเขาแล้วเราผ่านเรื่องราวมาเราจะคุยกับเขายังไงอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็สื่อสารแล้วคําพูดการเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งสําคัญในเรื่องการพูดคุยต่างเจนเนอเรชั่นค่ะ
BZ: เส้นทางใหม่ๆ นอกจากเราเป็นศิลปินแล้ว คิดว่าเราอยากจะชาเลนจ์ตัวเองในทิศทางไหนไหมคะ
MB: ตอนนี้หนูอินการแสดงค่ะ ก็เริ่มได้รับโอกาสมาได้ลองแสดง พอได้ทําแล้วมันสนุกมากเลยค่ะ ตอนนี้กำลังถ่ายเรื่อง Test อยู่ค่ะ ของช่อง ONE 31 ค่ะ ก็ใหม่สําหรับหนูมาก ไม่ใช่เรื่องเเรกค่ะ เเต่ว่าเป็นตัวหลักจริงๆ เรื่องแรกเลยค่ะ
BZ: เเล้วเป็นอย่างไรบ้างคะ
MB: กดดันมากเลยค่ะ หนูกลัวว่าหนูจะจําบทไม่ได้ กลัวว่าจะเป็นคาแรกเตอร์นั้นไม่ได้ แต่พอได้ทํางานกับพี่ๆ จริงๆ ทุกคนเก่งมากค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าเราต้องถีบตัวเองเพราะว่านักแสดงแต่ละคนที่หนูได้ร่วมงานคือเก่งทั้งนั้นเลย
BZ: มันต่างกับตอนที่เราเล่นละครคุณธรรม TikTok ไหมคะ
MB: ต่างเยอะเลยค่ะ อันนั้นเอาสนุกไง อันนี้มันคนกี่ล้านคนก็ไม่รู้ที่จะได้ดูเราออกแบบสาธารณะก็ค่อนข้างกังวลแล้วก็เครียดมากค่ะ
BZ: เรามีวิธีการจัดการยังไงกับบสิ่งนี้บ้างคะ
MB: เตรียมตัวค่ะ หนูใช้เวลาเตรียมตัวก่อนที่จะถ่ายอาทิตย์หนึ่งจําบท เข้าใจ ทําความรู้จักตัวละคร แล้วก็ต้องรู้ว่าสิ่งที่เขากําลังพูดไปเขาต้องการสื่ออะไร เขาอยากได้อะไรกลับมาอะไรอย่างนี้ค่ะ

‘ปอร์เช่-ศิวกร อดุลสุทธิกุล’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกประทับใจแล้วเราจำไม่ลืมไหมคะ
Porsche: ความสําเร็จของผม ผมว่าได้เห็นเพื่อนๆ แล้วก็ได้เห็นหลายๆ คนได้ทําในสิ่งที่ตัวเองรักในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วก็พัฒนาตัวเองครับ ทําให้ผมรู้สึกว่าการเดินทางกับพวกเขาเป็นสิ่งที่ทําให้เราฟูลฟีลมากเลยในระดับหนึ่ง แล้วก็อยากให้ทุกคนรอทางผมด้วย เพราะว่าอีกสักพักทุกคนก็จะได้เห็นกันครับ
BZ: มีเมมโมรี่ไหนที่เรารู้สึกว่ายกให้เป็น “Best of” ปีนี้ไหมคะ
Porsche: ผมว่าน่าจะเป็นการที่ได้รับโอกาสหลายๆ อย่างมากขึ้นครับ ผมว่าคนได้เห็นความสามารถของเราในด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นการโปรดิวซ์หรือไป feat. กับคนอื่น การได้เล่นเอ็มวี การได้ทํา dance performance แล้วก็ได้รับความรักจากหลายๆ คนมากขึ้นครับ
BZ: แล้วเห็นภาพตัวเองไหมว่าอีก 5 ปีเราจะทําอะไรอยู่
Porsche: ถ้าเป็นไปได้นะ ผมอยากให้เพลงผมมันไปไกลมากกว่าเมืองไทยครับ อยากให้คนทั่วโลกฟังแล้วยอมรับมัน แล้วก็อยากให้เพลงผมเป็นสื่อกลางในการได้ทําให้คนรู้สึกอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสุขเศร้าเสียใจหรือว่าการเล่าเรื่องราวให้คนเข้าใจมากขึ้นครับ
BZ: มีใครเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราในเส้นทางสายนี้ไหมคะ
Porsche: ตัวผมเองนี่แหละครับผม เราจะต้องเปลี่ยนจากตัวเอง แต่ถ้าเกิดพูดถึงเรื่องผลงาน ผมจะชอบ 4.26 เอ็มดิต นาวา, Eminem, Tylor….., G-Dragon ถ้าหมายถึงว่าในด้านที่เขาเป็นตัวเอง แล้วพรีเซนต์ตัวเองในนามเขาครับ
BZ: ความเป็นนิวเจนเนอเรชั่นหรือคนรุ่นใหม่อย่างเรา คิดว่ามันมีอุปสรรคหรือมีความท้าทายแบบไหนที่เรารู้สึกว่ามันยากสําหรับเราไหม แล้วเราจะทําอย่างไรให้คนที่อาจจะโตกว่าหรือเด็กกว่าเข้าใจเรา
Porsche: สําหรับผมมันยากตรงที่การทําบางอย่างเหมือนคนจะไม่เข้าใจ เข้าใจน้อยครับ แล้วคนที่ทําตามหลังๆ จะเข้าใจมากกว่า ผมว่าการเริ่มต้นหรือการทําอะไรที่มันใหม่หรือการที่มันไม่อยู่ในกระแสมาก คนจะให้ความสนใจน้อยกว่าเมนสตรีม แต่ว่ามันไม่ถือว่าเป็นอุปสรรค ถือว่าเป็นความท้าทายที่เราอยากเอาชนะมันมากกว่า มันสนุกดีครับ
BZ: แล้วเราคิดว่าเราจะสื่อสารกับคนต่างเจนเนอเรชั่นยังไงให้เข้าใจเรา
Porsche: ผมจะใช้ดนตรีเป็นสื่อหลัก ผมว่าดนตรีคือศิลปะอย่างหนึ่งที่เราสามารถวาดเขียนหรือเล่าเรื่องราวผ่านมันได้ แล้วก็เขาจะฟังหรือเขาไม่ฟังมันก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ผมรู้สึกว่ามันจะต้องผ่านหูเขาให้ได้สักครั้งหนึ่ง มันทําให้เขาได้มองเห็นเราครับ
BZ: เส้นทางใหม่ที่แฟนๆ จะได้เห็นต่อจากนี้ นอกจากบทบาทของการเป็นศิลปินหรือคนโปรดิวซ์เอง คิดว่ามีอะไรที่เราอยากชาเลนจ์ตัวเอง แล้วอยากทําให้แฟนๆ ได้เห็นเราในมุมมองใหม่ๆ
Porsche: ถ้าเกิดเป็นไปได้ ถ้าผมไหวนะครับ อันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมทําได้นะครับ ผมอยากมีการแสดงสักเรื่องหนึ่งที่บทมันฉีกหน่อยๆ ครับ ฉีกมากๆ เลยละกันครับ ที่แบบว่าคนคาดไม่ถึง ที่ผมคาดไม่ถึง แต่ถ้ามันมีโอกาสดีๆ มาก็จะรับครับ เพราะว่าส่วนมากผมจะไม่ค่อยกล้าออกจากคอมฟอร์ทโซนในด้านแอคติ้งเท่าไหร่เพราะว่าเราไม่ถนัดด้านนี้ครับ แต่ก็พร้อมที่จะก้าวกระโดดลงไปถ้าเกิดมีโอกาสดีๆ เข้ามาครับ

‘มิลลิ-ดนุภา คณาธีรกุล’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกประทับใจแล้วเราจำไม่ลืมไหมคะ
Millie: ปีนี้อะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก แต่ว่าเป็นความตั้งใจของมิลลิตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าปีนี้จะเริ่มอะไรใหม่มั่นใจขึ้น ให้โอกาสตัวเองมากขึ้นนู่นนี่นั่น หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่รู้สึกว่าน่าจะใหม่สําหรับเราคือที่เราพร่ำพูดว่าอยากจะเป็นเกิร์ลกรุ๊ปจนตัวสั่น วันนี้เราได้เป็นและดันเป็น leader ด้วย โคตรเหนื่อยเลยค่ะ แต่ว่าสนุกมากค่ะเป็นโปรเจกต์ที่เหมือนบอมโปรเจกต์แต่ว่าได้รับการตอบรับดีก็ดีใจที่ทุกคนชอบค่ะ
BZ: ความประทับใจแรกที่รู้ว่าเราต้องมาทําเกิร์ลกรุ๊ป 3 คน เรามีความรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
ML: เอาแล้ว เพราะว่าพอมันเป็นเกิร์ลกรุ๊ป มันจะไม่ใช่แบบฉันไม่ใช่ศิลปินดี่ยวอีกต่อไป ทุกอย่าง 3 คน มันต้องเท่ากัน มันมีรายละเอียดเมเนจเม้นท์และในความที่เราอายุห่างกันไม่มาก แต่ว่าเราก็อาจจะมีประสบการณ์มาก่อนบางส่วน เราก็เลยเอามาแชร์ เราก็เลยจะกลายเป็นลีดเดอร์กลายๆ เราก็เลยต้องดูแลช่วยเหลือวางแผนคุยอะไรอย่างนี้ด้วยค่ะ
BZ: เห็นภาพตัวเองใน world tour อีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร
ML: คิดว่าในอีก 5 ปีตอนนั้นน่าจะมีอีกอัลบั้มถึงสองอัลบั้มที่จะถูกปล่อยออกมา แล้วก็ทัวร์นี่เอาจริงๆ แล้วถ้ามันไปถึงระดับโลกได้เราก็ดีใจนะ แต่เอาจริงๆ แค่อยากมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองให้คนที่เขาอยากมาดูโชว์ของเราแล้วมาฟังเพลงของเราในทุกๆ เพลงซื้อบัตรเข้ามาดูเรา คือพอมันเป็นเฟสติวัล มันเหมือนการไปแจกนามบัตรว่า โอเคฉันมิลลินะ ยูชอบประมาณนี้ไหมตามมาฟังเพลงกันต่อได้ แต่ว่าพอมันเป็นคอนเสิร์ตของเรามันคือแบบฉันจะซื้อบัตรเพื่อไปดูคนนี้ เพื่อมาร้องเพลงกับคนนี้หรือเพื่อมาฟังหรือดูโชว์คนนี้ มันคนละฟีลคนละอย่างเลย เราก็อยากให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้น แล้วก็อีกอย่างหนึ่งถ้าสมมุติว่าเป็นไปได้อยากจะไปรับบทบาทในฐานะนักแสดง
BZ: คิดว่าตัวเองอยากเล่นซีรีส์หรือว่าหนังเรื่องประมาณไหนคะ
ML: คิดว่าอยากเล่นหนังค่ะ ขอเป็นอะไรที่แบบไม่ใช่คนเลย เป็นอะไรก็ได้เป็นแบบผีห่าซาตานอะไรได้หมด คิดว่าอยากเล่นแบบจริงจังสุดๆ ดราม่าร้องไห้ตายไปเลยจบ
BZ: ขอวกกลับไปที่ world tour อีกครั้ง จะเห็นว่าทุกครั้งที่มิลลิทำงานออกมา ก็จะดึงเอาวัฒนธรรมความเป็นไทยออกมาในรูปแบบที่โมเดิร์น ไม่ว่าจะเป็นการคอลแลปกับพี่ไฮหรือว่าเอ็มวีที่มีเชียร์ลีดเดอร์ไทย คิดว่าวันหนึ่งถ้าเรามี world tour เราจะเอาเสน่ห์ความเป็นไทยเหล่านี้ไปอยู่ในรูปแบบอะไรบ้างคะ
ML: เอาจริงๆ เลยพูดแบบนี้รู้สึกว่าจริงๆ แล้วความเป็นไทยหรืออะไรที่มันอยู่ เราจะไม่ได้พยายามพรีเซนต์ตัวเองให้เราเป็นโบรชัวร์ความเป็นไทยอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทยแล้วเราเป็นเด็กไทยเราโตที่ไทย วัฒนธรรมทุกอย่างมันถูกนำเสนอออกมาทางคําพูด กิริยา โชว์ไอเดียความคิดหรือครีเอทีฟอยู่แล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ เลยไม่ได้โฟกัสว่าเราจะนำไทยออกไปสู่ระดับโลกยังไง แต่เราโฟกัสว่าพอเราบอกว่าเราจะนำตัวเองออกไปด้วย ความที่เราเป็นคนไทยอยู่แล้วมันเลยมีความเป็นไทยอยู่ในนั้นโดยธรรมชาติ มันก็เลยไม่ได้เป็นประเด็นที่จะเอามาคิดมาก แต่เอาจริงๆ แล้วเวลาแต่งเพลง ถ้าสมมุติใส่คําไทยได้เราก็อยากจะใส่ เรารู้สึกว่ามันกวนดี ไม่เก็ตก็ไปแปลภาษาเอา ฟีลอะไรอย่างนี้ค่ะ จริงๆ ด้วยความที่พอเป็นคนไทย เราแต่งเพลงเองเพลงมันก็จะมีกลิ่นอายอะไรที่เราโตมาแบบนี้มันเลยเป็นแบบนี้อยู่แล้วค่ะ ก็คิดว่าดีใจที่บอกว่ามันเป็นเสน่ห์เหมือนกันเพราะว่าก็อยากให้เขาสัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเราเติบโตมาไม่ได้สวยหรูอะไรก็เป็นอย่างนี้ค่ะ
BZ: ถือว่าเป็นหนึ่งในนิวเจนเนอเรชั่นที่ประสบความสําเร็จ เราคิดว่ามีอุปสรรคไหนที่มันท้าทายเราจนกว่าจะมาถึงปัจจุบันไหมคะ
ML: เอาจริงเคยพูดกับตัวเองว่า เฮ้ย! ชอบความท้าทายแต่ว่าไม่ต้องท้าทายขนาดนี้ก็ได้ คือชีวิตจะเต็มไปด้วยความท้าทายไปถึงไหน เวลาจบปีทุกคนก็จะแบบ เฮ้ย! ปีนี้มันไวมากเลย ยังไม่ทันทําอะไรเลย แต่ของมิลลิคือแบบโอ้โหทําทุกวัน ทําทุกวันนี้ให้ดีที่สุด ใช้ชีวิตวันต่อวันคือรอดในแต่ละวันมาแล้วก็รู้สึกว่าเออเก่งแล้ว มันเหมือนมีงานใหม่ๆ ตลอดเวลา ให้รู้สึกว่าต้องก้าวข้ามผ่านไป มันไม่ได้มีอะไรง่ายเลยจนต้องขอพรพระว่าของานเยอะๆ เงินเยอะๆ แต่เป็นงานที่ง่ายๆ สนุกๆ อะไรอย่างนี้ ทุกวันนี้งานง่ายขึ้นแต่ก็เป็นอะไรที่ชาเลนจ์อยู่ดี ยังสนุกกับมันอยู่ แต่ว่าความท้าทายทําให้เราเก่งขึ้น นั่นคือข้อดีอย่างเดียวของความท้าทาย ที่เหลือจะเป็นเหนื่อย เป็นคิดมากเป็นสเตจอะไรหมดเลยค่ะ
BZ: มีวิธีการสื่อสารกับคนต่างเจนเนอเรชั่นกับเราอย่างไร ให้เขาเข้าใจในความเป็นเรา
ML: ด้วยความที่มิลลิโตมากลับบ้านที่พูดคุยมั้ง เราเลยสามารถคอมเมนต์กันเองได้ อย่างแม่อยากให้มิลลิทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ มิลลิก็จะบอกแม่ว่ามิลลิไปเจออะไรมามันเหนื่อยมากเลย มันเฮิร์ทฟิลลิ่งหนูมากเลย หนูอาจจะขอเวลาตรงนี้นิดนึงแล้วหนูจะกลับมาเป็นลูกที่ดีให้แม่ หนูอาจจะขอเวลาส่วนตัวนิดนึง หนูอาจจะอะไรอย่างนี้ แบบก็จะบอกแม่ตรงๆ อะไรอย่างนี้ ถ้าแม่ไม่เข้าใจป๊าก็จะช่วยคุยให้ เหมือนในบ้านเราคุยกัน 3 คนค่ะ เขาก็ให้สเปซค่ะ เหมือนการคุยกันจะทําให้กําแพงระหว่างเรามันลดลงจริงๆ นะ แต่เข้าใจว่าด้วยความที่สังคมหรืออะไร มันไม่ใช่ทุกบ้านที่จะคุยกัน เอาว่าเป็นความโชคดีของมิลลิละกันที่บ้านมิลลิคุยกันได้ แต่กว่าจะมาถึงในจุดที่คุยกันได้ขนาดนี้ก็เหนื่อยมากจริงๆ แต่มิลลิเชื่อว่าคนจะพูดว่าไม้แก่ดัดยาก แต่มิลลิบอกว่า อ๋อไ ม่ดัดเดี๋ยวเอากบใสไม้ใสเลยจะเอาบางอะไรอย่างนี้ คือเหมือนเชื่อในตัวเขาว่าวันนึงเราจะเข้าใจกันได้ แล้ววันนั้นมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าต้องเปิดใจนะ ลดอีโก้ตัวเองลง เปิดใจ ไม่ใช่เป็นเราที่ถูกเสมอ เจนใหม่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องถูกหมดด้วยซ้ำ เหมือนกับเรื่องอาบน้ำร้อนน้ำเย็น มันแล้วแต่เลย สุดท้ายแล้วสิ่งผู้ใหญ่เขาเคยผ่านมาก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี ดีแล้วที่เขาเอามาแนะนําเรากับสิ่งใหม่ที่เราเพิ่งพบเจอหรือเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เราแชร์เขาก็จะยิ่งรับมือได้ถูกขึ้น
BZ: เส้นทางใหม่ๆ นอกจากเราเป็นศิลปินแล้ว คิดว่าเราอยากจะชาเลนจ์ตัวเองในทิศทางไหนไหมคะ
ML: อยากเป็นนักกีฬานะ หรือว่าลองจริงจังกับกีฬาสักอันเลยแบบว่าขึ้นชกไฟท์ต่อยมวย อยากจะลองเป็นนักกีฬาดู ตอนนี้คิดว่าน่าจะมวย เพราะว่ามิลลิก็ต่อยมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว ก็ชื่นชอบกับมันเพราะว่าเราเป็นคนบ้าพลัง
BZ: เรามีไอดอลที่เราชอบไหมคะ
ML: จริงๆ ถ้าฝั่งคนไทย โอ้โห อันนี้พูดชื่อไปก็อ๋ออยู่แล้วคือ แสตมป์ แฟร์เท็กซ์ ที่เป็นแชมป์อาร์ 3 MMA, ONE CHAMPIONSHIP, คิกบ็อกซิ่ง แล้วก็มวยไทย อีกคนหนึ่งคือซูเปอร์เกิร์ลอายุเท่าหนูเลย อายุไม่ห่างกับเรามาก แล้วมันเจ๋งมาก ล่าสุดวันเกิดตัวเองนั่งดูชก MMA ที่แข่งชิงแชมป์เข็มขัดแล้วก็หลับไป อารมณ์ความสุขเหมือนนั่งดูละครหลังข่าวอะไรอย่างนี้ เราก็แฮปปี้มาก รู้สึกว่ามันเท่มากๆ แล้วไฟทเตอร์ที่เป็นผู้หญิงมันยิ่งโดนใจเรามากๆ สุดๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ ไม่ได้เกี่ยวว่าสภาพร่างกายเป็นยังไง แต่ว่าเราทําให้ดีที่สุดว่าร่างกายเรามาถึงจุดเดอะเบสท์ของมันอะไรอย่างนี้ มันเลยแบบเท่ค่ะ
BZ: ความเป็นนักมวยมันได้ช่วยอะไรกับการที่เราเป็นศิลปินไหมคะ
ML: ถ้าคนสังเกตคือเดี๋ยวนี้มิลลิไม่หอบเลย จะไม่มีการหอบให้เห็นเลย เพราะว่าตอนนี้หัวใจวิ่งไป 150 bpm แล้ว ยังไม่หอบเลย แล้วเราวิ่งเราเล่นกีฬาทำกิจกรรมหลายๆ อย่างเยอะมากแล้วเราชอบด้วยแหละ แล้วก็รู้สึกแฮปปี้ไปกับมัน มวยนี่มาเริ่มต่อยเพราะว่าช่วงนั้นเครียดจากมหาวิทยาลัย แล้วก็รู้สึกว่าการโดนทารุณโดนเตะมันช่วยขจัดความเครียดออกไป ก็เลยค่อนข้างชอบแล้วมันก็ได้ปลดปล่อย แต่ว่ามิลลิเป็นคนต่อยมวยไม่เสียงดัง จะไม่มีแบบเอ้ยโอ้อะไรแบบนี้น้อยมาก เพราะว่าเจ็บคอเก็บเสียงไว้ร้องเพลงดีกว่าค่ะ

‘วิคเตอร์-วรเมธ กอนุประพันธ์’
Harper’s BAZAAR: ปี 2024 ที่ผ่านมา มีความทรงจำไหนที่เรารู้สึกประทับใจแล้วเราจำไม่ลืมไหมคะ
Victor: สําหรับผมก็ต้องเป็นคอนเสิร์ตรอบที่สองพวกเรา PROXIE ครับ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประทับใจมากๆ แล้วเหมือนเป็นความสำเร็จหนึ่งในชีวิตผมมากๆ ครับ ผมเอนจอยกับทุกโมเมนต์ของมัน ตั้งแต่ process ของมัน การประชุมกัน การเตรียมตัวซ้อมกัน จนกระทั่งอยู่บนเวทีก็เอนจอยมากๆ ครับ
BZ: แล้วความรู้สึกต่างจากคอนเสิร์ตครั้งแรกอย่างไรบ้างคะ
Victor: ผมรู้สึกว่ามันต่างครับ เพราะว่าสเกลมันใหญ่ขึ้น แล้วคนที่เราได้ร่วมงานมันเยอะขึ้นครับ แล้วก็เหมือนได้เอกซ์โพสกับคอมมิวนิตี้ใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ ครับ มันทําให้แรงบันดาลใจผมออกมา ผมรู้สึกว่ามันตื่นเต้นทั้งคู่ครับ แต่ว่าถ้าให้เทียบกันผมว่ารอบแรกตื่นเต้นกว่าครับรอบสองมีสติกว่าครับ
BZ: เป้าหมายใหญ่ๆ ในชีวิตมีอะไรที่อยากทำมากกว่านี้ไหมคะ
Victor: สําหรับผมถ้าในพาร์ทของศิลปินได้ขึ้นบนเวทีใหญ่ๆ ก็ดีมากๆ ครับ แต่รู้สึกว่าอยากจะเอนจอย process นี้ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะว่าผมให้ความสัมพันธ์กับ process มากกว่าเป้าหมายด้วยซ้ำไปครับ
BZ: ใน 5 ปีข้างหน้า มองเห็นภาพตัวเองเป็นอย่างไรคะ
Victor: ไม่ชัวร์เลยครับ ไม่รู้ว่าอยู่วงการนี้ด้วยซ้ำหรือเปล่า อาจจะไปเรียนต่อมั้งครับ หรือถ้ายังอยู่ก็น่าจะเป็นศิลปินเหมือนเดิมครับ
BZ: แล้วคิดว่าจะมีอัลบั้มเดี่ยวไหม หรือว่าผลงานด้านไหนที่อีก 5 ปีข้างหน้าอาจจะได้เห็นวิคเตอร์ในบทบาทอื่น
Victor: อยากเป็นแฟชั่นไอคอนครับ ความฝันของผม ผมอยากไปปารีสแฟชั่นวีค หรือมิลานแฟชั่นวีค หรือลอนดอนแฟชั่นวีคครับ
BZ: ถือว่าเป็นหนึ่งในนิวเจนเนอเรชั่นที่ประสบความสําเร็จ เราคิดว่ามีอุปสรรคไหนที่มันท้าทายเราจนกว่าจะมาถึงปัจจุบันไหมคะ
Victor: สําหรับผมก็น่าจะการฝึกซ้อมครับ แล้วผมก็ทํางานตั้งแต่เด็กๆ ประมาณ 10, 15 เข้าวงการเลยครับ ก็ต้องร่วมงานกับคนเยอะๆ แล้วก็ต้องปรับตัวต้องทําตัวแบบโปรเฟสชั่นนอลมากขึ้น ต้องทําตัว mature มากขึ้น แล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องสังคมด้วยเรื่องตัวเองด้วย
BZ: คิดว่าการที่เราต้องเรียนรู้แบบนี้ มันทําให้เราโตไปกว่าอายุเราไหมคะ
Victor: อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าครับ แต่ว่าความคิดก็อยู่ที่สังคมด้วย บางคนก็อาจจะคิดโตกว่าผมในบางด้านครับ
BZ: มีวิธีการสื่อสารกับคนต่างเจนเนอเรชั่นกับเราอย่างไร ให้เขาเข้าใจในความเป็นเรา
Victor: ถ้าสําหรับผม การที่ให้เขาเข้าใจเราอาจจะแก้ปัญหาได้ไม่เต็มที่ครับ เพราะว่าเราต้องเข้าใจเขาด้วยครับ ต้องแบบเข้าใจกันและกันครับ แล้วก็ keep open mind มากๆ ครับ เหมือนแบบเปิดมากๆ แล้วก็อยากจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอด ผมว่าการวางตัวอย่างนี้ทําให้เขาอยากจะคุยกับเราด้วย การคุยกันสําคัญที่สุดครับ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมด้วยครับ เราต้องคุยกันแก้ปัญหาด้วยกันครับ
BZ: ถ้าเราไม่ได้เป็นศิลปินนักร้อง มีบทบาทไหนที่เราอยากลองทำไหมคะ
Victor: มีเยอะมากเลยครับ ถ้าพูดถึงวงการนี้ก็อยากเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ อยากเป็นสไตลิสต์ อยากลองทําเพลง อยากแบบโปรดิวซ์เพลงครับ แล้วก็อยากทําแบรนด์แฟชั่นตัวเองครับ แล้วถ้าออกจากวงการนี้ก็อยากเขียนหนังสือครับ แล้วก็อยากเป็นดีไซเนอร์ด้วยครับ
BZ: มีใครเป็นแรงบันดาลใจเราไหมคะ
Victor: ถ้าพูดถึงพาร์ทศิลปินก็ G-Dragon ครับ ชอบมากๆ รักมากๆ แต่ถ้าเป็นพาร์ทของการใช้ชีวิตก็น่าจะพระพุทธเจ้าครับ แล้วก็ช่วงนี้ผมอิน Jacques Lacan ครับ เป็นนักจิตวิเคราะห์ก็สอนผมให้ใช้ชีวิต แล้วก็ให้มีความสุขในแบบที่แปลกไปอีกครับ