Monday, December 9, 2024
More

    Cartier เผยการเดินทางครั้งพิเศษของเครื่องประดับชั้นสูง ณ ภูเก็ต ประเทศไทย

    on

    - Advertisement -

    คาร์เทียร์เชิญแขกคนสำคัญร่วมเดินทางสู่ไข่มุกแห่งทะเลอันดามัน ที่ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์และรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม ด้วยแรงบันดาลใจจากการเดินทางของสามพี่น้องตระกูลคาร์เทียร์ เพื่อส่งมอบครีเอชั่นอันวิจิตรไปทั่วทุกมุมโลก และในขณะเดียวกันผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมอันแตกต่างของแต่ละท้องที่เข้าสู่กระบวนการดีไซน์ คาร์เทียร์ นำเสนองานไฮจิวเวลรี่ ที่รวมเอาชิ้นงานเครื่องประดับชั้นสูงกว่า 200 ชิ้น ซึ่งสะท้อนความชำนาญของช่างฝีมือเอกลักษณ์ของเมซง ท่ามกลางฉากความงดงามท้องถิ่นของภูเก็ต

    นิทรรศการในครั้งนี้ จัดขึ้นภายในไพรเวทเรสซิเดนซ์ริมผาที่โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ของทะเลอันดามันรอบด้าน 180 องศา พื้นที่จัดแสดงชิ้นงาน
    แบ่งออกเป็น 4 บท (4 ห้อง) นำเสนอไฮจิวเวลรี ผ่านศิลปะท้องถิ่น วัสดุ และงานหัตถศิลป์ เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญของพื้นที่จัดงาน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการทำเหมืองแร่ในศตวรรษที่ 19 ชิ้นงานเครื่องประดับชั้นสูง ได้แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของคาร์เทียร์อย่างเด่นชัดผ่านการเลือกใช้แสง (light), การเคลื่อนไหว (movement), สีสัน (colours) , และรูปทรง (shapes) ที่หลากหลาย จุดประกายให้เกิดความสนใจใคร่รู้และความตื่นตาตื่นใจไปกับคอลเลกชั่น

    ห้อง “Carved Wood” จากงานแกะสลักไม้ที่มีมาตั้งแต่ไทยโบราณ สู่การตีความใหม่ ด้วยการเลือกใช้ไม้เฉดสีเข้มกับงานจักสาน สร้างฉากหลัง
    อันงดงาม ขับให้ชิ้นงานไฮจิวเวลรีโดดเด่น ห้องนี้นำเสนอชิ้นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด (Flora and Fauna) อย่างเช่น เซ็ตสร้อยคอ Croco ที่โดดเด่นเป็นไฮไลท์ด้วยเพชรน้ำงามตัดกับมรกต Les Oiseaux Libérés สร้อยคอนกแก้วทำจากเพชร ประดับมรกตหยดน้ำ 5 เม็ด ซึ่งมีส่วนจงอยปากที่รังสรรค์จากไข่มุก mother-of-pearl ทั้งยังเป็นห้องที่รวบรวมชิ้นงานสุดตระการตา จากคอลเลกชั่น Panthère de Cartier และคอลเลกชั่น Cactus de Cartier  ไว้หลากหลายชิ้น

    ถัดมา คือ ห้อง “Ceramics” วัสดุที่เหล่าพ่อค้าจากจีนนำเข้ามาสู่ภูเก็ตในสมัยยุคเหมืองแร่ เซรามิกสีเขียวถูกร้อยเรียงในรูปทรงเรขาคณิตอย่างประณีต สร้างคอนทราสต์ให้กับชิ้นงานไฮจิวเวลรีที่จัดแสดง คอลเลกชั่นไฮไลท์ในห้องนี้ ได้แก่ แหวน Tichodroma ที่โดดเด่นด้วยรูเบลไลท์ (ทัวร์มาลีนสีแดง) ทรงหลังเบี้ยที่งดงามไร้ที่ติ ขนาด 10.06 กะรัต จัดแสดงอยู่ท่ามกลางชิ้นงานจากคอลเลกชั่น Panthère de Cartier ซึ่งรวมถึงสร้อยคอ Pompon, สร้อยคอ Panthère des Neiges, สร้อยคอ Ti Panthère และเรือนเวลา Tiny Tiger (เรือนเวลาจากคอลเลกชั่นเครื่องประดับ ชั้นสูง) นอกจากนี้ยังมีกำไลหลากดีไซน์จากคอลเลกชั่น Indomptables de Cartier ที่นำเอาสัตว์ป่านานาพันธุ์ของคาร์เทียร์มาผสานรวมกันในหนึ่งครีเอชั่น

    ขณะที่ห้อง “Silk” แตกต่างด้วยความพลิ้วไหวของผ้าไหมไทย แพทเทิร์นการทอที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน สอดรับและช่วยขับความงามของเครื่องประดับคาร์เทียร์ให้ยิ่งเด่นชัด ห้องนี้เต็มไปด้วยชิ้นงานที่น่าจดจำ ไล่เรียงตั้งแต่สร้อยคอและต่างหู Grattacielo หนึ่งในชิ้นไฮไลท์ของคอลเลกชั่นทั้งหมดที่จัดแสดงในครั้งนี้ ด้วยจี้เพชรบริสุทธิ์ Type IIa (พบได้เพียง 1% ของเพชรทั้งหมดในโลก) และยังมีเซ็ตสร้อยคอและต่างหู Intrico ซึ่งสื่อความหมายถึงความผูกพัน ด้วยดีไซน์ที่ถักทออย่างแนบชิด เซ็ตสร้อยคอ แหวน และต่างหู Voltea ที่หมายถึงแรงดันไฟฟ้ามอบอารมณ์ความรู้สึกมีพลัง และยังมีสร้อยคอ 1895 และ เซ็ต Unda ที่ประกอบไปด้วยสร้อยคำ กำไล และต่างหู ที่ล้วนให้ความรู้สึกเรียบหรูแต่ก็พลิ้วไหวดุจเส้นไหม

    ห้อง “Wrought Iron” มอบอารมณ์ที่แตกต่างจากห้องอื่นๆ ด้วยตู้กระจกแก้ว ครอบด้วยโครงสร้างเหล็กดัดสีทอง เทียบเคียงได้กับวัสดุที่พ่อค้า ชาวยุโรปแนะนำให้แก่ชาวภูเก็ตในสมัยก่อน เซ็ตสร้อยคอและต่างหู Miroitement เครื่องประดับชั้นสูงที่เปรียบดัง Crown Jewels ของนิทรรศการนี้ ถูกจัดแสดงอยู่ใจกลางของห้อง โดดเด่นด้วยเพชรสีน้ำเงินที่หายากที่สุดและล้อมด้วยเพชรบริสุทธิ์ D Flawless สร้อยคอนี้สามารถ transformable ใส่ได้หลากหลายแบบ ทั้งยังมี Coussin de Cartier กำไลเพชรรูปทรงคล้ายหมอน (คูชชัน) ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในแง่นวัตกรรมเนื่องจากโครงสร้างที่แลดูขึงขังกลับมีความอ่อนนุ่ม จบท้ายโชว์เคสด้วยเรือนเวลาจิวเวลรีประณีตศิลป์และเรือนเวลาประณีตศิลป์ (Fine Jewelry Watch & Fine Watchmaking) อย่าง Santos de Cartier Skeleton และ Pasha de Cartier Skeleton

    นอกจากนี้ คาร์เทียร์ยังได้เนรมิตวิลล่า นาคา ให้เป็นพื้นที่ไพรเวทไดนิ่ง ต้อนรับแขกคนสำคัญ ฮาร์ท อีแวนเจลิสต้า (Heart Evangelista) เซเลบริตี้ชื่อดังชาวฟิลิปปินส์ และพีพี กฤษฏ์ นักแสดงแถวหน้าชาวไทย ประเดิมค่ำคืนด้วยการแสดงโนราห์ การแสดงรำสุดคลาสสิกของภาคใต้ ที่ได้รับการตีความใหม่ให้ร่วมสมัย โดย พิเชษฐ์ กลั่นชื่น ต่อด้วยการเดินแบบเครื่องประดับชั้นสูงที่เป็นไฮไลท์ของการจัดแสดงครั้งนี้ เรียกได้ว่าสะกดทุกสายตาของผู้ร่วมงาน

    ก่อนที่จะเปลี่ยนค่ำคืนให้กลายเป็น Shimmering Andaman ตามธีมของดินเนอร์ ด้วยการแสดงโดรนที่เก็บเอาทุกอัตลักษณ์ของคาร์เทียร์มารวม
    ไว้ และการแสดงพลุที่ทำให้ท้องฟ้าภูเก็ตยามค่ำคืนส่องประกายระยิบระยับ และที่พิเศษสุดคือการโคจรมาพบกันในการแสดงมินิคอนเสิร์ตของคาร์เทียร์แอมบาสเดอร์ ประเทศไทย เจฟ ซาเตอร์ และศิลปินมากความสามารถ เดอะทอยส์ มาช่วยสร้างความสนุกสนานให้เป็นอีกค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบ