เรานัดถ่ายโฟโต้ชู้ตกับ “อี มิน-โฮ” ในกรุงโซลช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นฤดูหนาว ขณะที่ข้างนอกอากาศเย็นเยือก ในสตูดิโอนั้น มิน-โฮ อบอุ่นและเป็นกันเองอย่างที่สุด เขาจับมือทักทายสไตลิสต์ของเราอย่างกระปรี้กระเปร่า และงานถ่ายภาพก็เป็นไปอย่างรวดเร็วสะท้อนความเป็นมืออาชีพและความช่ำชองของเขา ไม่ต้องพูดถึงความหล่อขึ้นกล้อง (ทั้งกล้องถ่ายภาพและกล้องถ่ายหนัง) หลังจากโด่งดังขึ้นมาในชั่วพริบตาจากการเล่นซีรีส์ Boys Over Flowers เมื่อปี 2009 มินโฮก็เป็นที่รักใคร่ของแฟนๆ มาโดยตลอด ด้วยความสามารถหลากหลายด้านของเขาในฐานะนายแบบที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงและนักร้อง ประกอบกับความรักความใส่ใจในแฟนๆ และทุกบทบาทที่แสดง
มิน-โฮเล่าให้ฟังว่า “ผมทำงานเป็นนักแสดงมาได้ 17 ปีแล้ว ส่วนตัวผมไม่คิดถึงการแสดงในเชิงเทคนิค แต่จะพยายามเข้าใจตัวละครและบทที่เล่น เพราะฉะนั้นเวลาเล่นบทไหนก็ตาม ผมจะพยายามมองและสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองของตัวละครนั้นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานจนวันที่ปิดกองถ่าย ช่วยให้เรา ‘อิน’ กับตัวละครนั้นได้เต็มที่และดึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา”
มิน-โฮถือว่ามาไกลมากในฐานะนักแสดง หลังจากได้สร้างผลงานพิสูจน์ความสามารถในบทบาทที่หลากหลาย และดึงเรทติ้งจนกลายเป็นดาราระดับท็อปของเกาหลี จนได้มาเปิดตัวในวงการฮอลลีวูดกับซีรีส์ Pachinko ของ Apple TV+ ในปี 2022 ซึ่งยังไม่มีการประกาศวันเริ่มฉายซีซั่น 2 ที่แฟนๆ ตั้งตารอคอย แต่คาดว่าจะเริ่มปล่อยตอนแรกในไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ และถึงแม้ว่ามิน-โฮจะมีผลงานโดดเด่นเป็นที่จดจำนับไม่ถ้วน เขาก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่งแม้แต่น้อย ปีนี้เขากำลังถ่ายหนังเรื่องหนึ่งที่เขาใบ้ให้ว่า “มีฉากบู๊เยอะอยู่” ซึ่ง ณ ตอนนี้เจ้าตัวหวังแค่ว่าจะปิดกองได้โดยไม่เกิดเหตุบาดเจ็บ “ผมอยากมีผลงานการแสดงในช่วงชีวิตวัย 30 ให้ได้มากที่สุด เป้าหมายในปีนี้คือจะก้มหน้าก้มตาทำงานเต็มที่เท่าที่ตัวเองจะไหวครับ”
“ผมอยากมีผลงานการแสดงในช่วงชีวิตวัย 30 ให้ได้มากที่สุด เป้าหมายในปีนี้คือจะก้มหน้าก้มตาทำงานเต็มที่เท่าที่ตัวเองจะไหวครับ”
สำหรับเรื่อง Pachinko มิน-โฮเล่าให้ฟังเล็กน้อยว่าในซีซั่นที่สองแฟนๆ จะได้พบกับเรื่องราวแบบไหนบ้าง “ซีซั่นนี้ของ Pachinko เกี่ยวกับเรื่องราวของคนชนชั้นเกษตรกรที่หากินกับผืนดินในโลกที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง หัวใจของเนื้อเรื่องก็อยู่ตรงนี้แหละครับ เกี่ยวกับการเข้าใจรากเหง้าของตัวเองและตระหนักได้ว่าต้องเดินหน้าต่อไปทางใด เพราะฉะนั้นในซีซั่นนี้ ทุกคนจะได้เจอกับเรื่องราวและอารมณ์ของตัวละครที่เข้มข้นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม หวังว่าจะสนุกและชอบพอๆ กับซีซั่นแรกนะครับ”
เมื่อถามเรื่องการกลับมาเล่นตัวละคร ฮันซู เป็นครั้งที่สอง มิน-โฮตอบว่า “ในซีซั่นสองนี้ ฮันซูได้โตขึ้นและผ่านชีวิตมามากขึ้น แต่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ตัวละครของเขายังคง ‘อ่อนแอ’ ทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างฮันซูและซุนจาผู้เป็นภรรยา และลูกของเขาทั้งสองคน ทำให้ฮันซูต้องรับมือกับความทุกข์และความแปรปรวนในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง จนมีช่วงที่จะไปต่อไม่ไหวและต้องระเบิดอารมณ์ออกมา พอลองเทียบพัฒนาการของตัวละครจากซีซั่นแรกแล้วก็น่าสนใจเหมือนกันนะครับ”
ด้วยความที่ Pachinko เป็นผลงานฮอลลีวูดเรื่องแรกของเขา เราเลยลองถามมิน-โฮดูว่าสไตล์การทำงานแบบฮอลลีวูดแตกต่างกับที่เกาหลีอย่างไรบ้าง “รวมๆ แล้วการทำงานที่ฮอลลีวูดก็ไม่ได้ต่างกันกับที่เกาหลีมากนักหรอกครับ แต่ว่าเป็นกองถ่ายที่ใหญ่ ทุกคนร่วมกันลงแรงและแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ด้วยกัน ทำให้บรรยากาศมีความกระตือรือร้นพอสมควร” เขาเล่า เมื่อคิดดูสักพัก มิน-โฮบอกว่าสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปในฮอลลีวูดคือความละเอียดยิบย่อยที่มากกว่ากองถ่ายเกาหลี “ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งในกองถ่ายจัดการงานหนึ่งอย่าง แต่พวกเขาสามารถลงลึกในงานนั้นๆ และกระจายงานนั้นไปให้คนหลายๆ คนเพื่อให้งานเดินอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น”
อีกโปรเจกต์หนึ่งของมิน-โฮที่กำลังจะเปิดตัวคือซีรีส์ดราม่าในอวกาศชื่อว่า Ask The Stars โดยรับบท กงยง สูตินรีแพทย์ที่เดินทางไปปฏิบัติภารกิจในอวกาศ “ด้วยความที่ผมเล่นเป็นตัวละครหมอสูติฯ เลยไปศึกษาความรู้เบื้องต้นด้านสูติ-นรีเวชกรรม เช่นขั้นตอนในการผ่าตัด ทำคลอด และขอคำแนะนำจากหมอตัวจริงด้วย นอกนั้น ผมก็ดูสารคดีและภาพยนตร์เกี่ยวกับการทำคลอดและชีวิตของเด็กแรกเกิด ทำให้ผมซาบซึ้งกับความงดงามของชีวิตมนุษย์และการมีชีวิตไปด้วยเลยครับ”
เมื่อลองถามเล่นๆ ว่ามิน-โฮจะอยากลองไปเที่ยวอวกาศดูบ้างไหม เขาให้คำตอบเป็นเชิงปรัชญา “ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนเกิดมาจากสสารในจักรวาลรอบตัวนะ เพราะร่างกายเราก็สร้างมาจากอะตอมแบบเดียวกันทั้งนั้น พอมองจากมุมของเอกภพ หรืออวกาศแล้ว มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อธิบายและตีความได้ยากแต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง พอคิดแบบนี้ดูก็คล้ายกับว่าเราทุกคนกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศกันอยู่แล้ว”
ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลามาแต่ไหนแต่ไร มิน-โฮเริ่มต้นอาชีพวงการบันเทิงในฐานะนายแบบ ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับบริษัทจัดหานักแสดงในปี 2005 ในขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่ และขณะที่เริ่มประสบความสำเร็จในงานแสดงเขาก็เริ่มร้องเพลงด้วย “ผมหันมาร้องเพลงหลังได้รับบทโฆษณาบทแรก เล่นเป็นนักร้องครับ แล้วต่อมาก็ร้องเพลงให้แฟนๆ เพื่อตอบแทนความรู้สึกดีๆ และกำลังใจจากพวกเขา ช่วงอายุ 20 นี่ผมเลยร้องเพลงเยอะมาก” เขาเล่า
“ผมไม่ค่อยชอบแต่งตัวแบบที่โชว์ออฟมากเกินไป ด้วยไลฟ์สไตล์ของผม จะชอบเสื้อผ้าที่ง่ายๆ แต่ดูเป็นธรรมชาติ”
ความสัมพันธ์ของอี มิน-โฮ กับแฟนๆ ของเขา เป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนความรัก กำลังใจ และพลังบวกระหว่างกันและกันอยู่เสมอ “จนตอนนี้ ไม่ว่าผมได้สบตาแฟนๆ ทีไร ผมก็ยังได้รับพลังบวกจากพวกเขาและรู้สึกตื้นตันอยู่ในคอขึ้นมาอยู่เลยครับ ทุกครั้งที่ได้พบปะแฟนๆ ผมจะได้ฟังเรื่องราวจากเขาว่ากลายมาเป็นแฟนคลับผมได้อย่างไร ซึ่งจะเป็นเรื่องที่น่าทึ่งทุกครั้ง เช่น แฟนคลับคนหนึ่งของผมที่ญี่ปุ่นเล่าให้ฟังว่าชีวิตของเธอมืดมนไปหมดหลังจากเสียสามีไป แต่พอได้ดูซีรีส์ที่ผมเล่นแล้วก็รู้สึกดีขึ้น มีแรงจะใช้ชีวิตต่อ เรื่องราวจากแฟนๆ แบบนี้ทำให้ผมมีแรงไปต่อและตั้งใจจะเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้นครับ” ไม่น่าแปลกใจที่มิน-โฮจะยังคงเดินหน้ารับงานแสดงต่อไปไม่หยุดยั้ง ด้วยเสียงตอบรับและกำลังใจที่ดีจากแฟนๆ เช่นนี้
เรามักจะคุ้นเคยกับมิน-โฮในลุคแบบหล่อเนี้ยบในซีรีส์และบนพรมแดง แต่ในชีวิตจริงแล้วเขาชอบสไตล์การแต่งตัวที่เรียบง่ายกว่านั้น “ผมไม่ค่อยชอบแต่งตัวแบบที่หวือหวามากเกินไป ด้วยไลฟ์สไตล์ของผม จะชอบเสื้อผ้าที่ง่ายๆ แต่ดูเป็นธรรมชาติ” ส่วนงานอดิเรกของดาราหนุ่มก็เรียบง่ายพอๆ กับสไตล์การแต่งตัวของเขา “ช่วงนี้ผมชอบปั่นจักรยานนะ เป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังและแรงใจ จะปั่นเร็วหรือช้าเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เราชอบ มีข้อดีคือช่วยระบายความเครียดได้เยี่ยมเลยด้วยครับ” แม้ว่าเขาจะเดินทางรอบโลกเป็นกิจวัตรเพื่อไปร่วมงานอีเวนท์หรือถ่ายแบบ ก็ยังมีที่หนึ่งในโลกที่เขาตั้งใจจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต “จริงๆ ผมไม่มีที่เที่ยวในฝันหรอก สำหรับผมนะ คนที่ไปเที่ยวด้วยกันสำคัญกว่าเยอะ แต่ว่าผมตั้งใจไม่ไปเที่ยวยุโรปเหนือตอนนี้ เพราะอยากไปดูแสงเหนือมากๆ แต่ว่าอยากเก็บไว้ดูทีหลัง จนถึงวันนี้เลยยังไม่ได้ไปเที่ยวไอซ์แลนด์ครับ”