ในเดือนมีนาคมของทุกปี ฮ่องกงจะกลายเป็นหมุดหมายที่ชัดเจนและชวนให้นึกถึงความเคลื่อนไหวของโลกศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรมอันเข้มข้น เปรียบดั่งเวทีที่ศิลปิน นักสะสม ภัณฑารักษ์ และผู้หลงใหลในความงามจากทั่วทุกมุมโลกต่างพร้อมใจมารวมตัวในเทศกาลสุดยิ่งใหญ่แห่งปี Super March ที่จัดขึ้นตลอดทั้งเดือน และในปีล่าสุดนี้ Harper’s BAZAAR Thailand ก็ได้รับการเชื้อเชิญจากรัฐบาลฮ่องกงให้ไปร่วมชมบรรยากาศของเดือนแห่งศิลปะนี้
‘Super March’ ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาลศิลปะธรรมดา หากแต่เป็นการเฉลิมฉลองอัตลักษณ์ของเมืองฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมระดับโลก งานศิลป์ระดับมาสเตอร์พีซ นิทรรศการระดับตำนาน แกลเลอรี่จากทุกทวีป งานแฟร์กลางแจ้ง และกิจกรรมที่กระจายอยู่ทั่วเมือง ทั้งหมดล้วนถักทอเข้าด้วยกันอย่างมีชั้นเชิง เช่นฝั่ง West Kowloon Cultural District ที่ได้แปรเปลี่ยนริมอ่าววิคตอเรียให้เป็นพื้นที่ศิลปะที่บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีระดับ โดยเฉพาะที่ M+ Museum และ Hong Kong Palace Museum ยกระดับวงการพิพิธภัณฑ์ในเอเชียให้เทียบชั้นระดับนานาชาติ ในขณะที่ฝั่ง Tsim Sha Tsui ยังมี Hong Kong Museum of Art (HKMoA) พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแรกของเมืองที่ยังคงเดินหน้าอย่างสง่างาม

Art Basel
จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไฮไลท์คือการได้ไปเยือนงาน Art Basel Hong Kong 2025 ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ Hong Kong Convention and Exhibition Centre อันโอ่อ่า โดยปีนี้มีแกลเลอรี่ระดับโลกเข้าร่วมกว่า 240 แห่ง จาก 42 ประเทศและเขตแดน แต่ละรายพร้อมที่จะนำเสนอผลงานที่สะท้อนนวัตกรรมทางศิลปะอย่างลึกซึ้ง ทั้งในแง่แนวคิด เทคนิค และวัสดุที่น่าทึ่งยิ่งขึ้นในทุกๆ ปี






Art Central
ก่อนเข้าสู่ช่วงสุดสัปดาห์ปลายเดือมีนาคม งาน Art Central ได้กลับมาฉลองปีที่ 10 อย่างยิ่งใหญ่ที่ Central Harbourfront พื้นที่ที่รายล้อมด้วยเส้นขอบฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของฮ่องกง โดยงานนี้ มีแกลเลอรีชั้นนำจากเอเชียมากมายมาร่วมเปิดพื้นที่ให้ศิลปินร่วมสมัยและศิลปินรุ่นใหม่จากทั่วทุกมุมโลกได้แสดงศักยภาพและนำเสนอผลงานอย่างอย่างอิสระ









Diversity of Art
Diversity and Inclusion Arts Festivalนิทรรศการที่จัดขึ้นภายใต้เทศกาลศิลปะเพื่อความหลากหลายและการมีส่วนร่วม โดย Arts with the Disabled Association Hong Kong (ADAHK) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเครือข่ายองค์กรศิลปะเพื่อผู้พิการ ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะและการแสดงจากกลุ่มศิลปินที่มีความหลากหลายในด้านร่างกาย จิตใจ และประสบการณ์ชีวิต ถ่ายทอดความงดงามของการมีอยู่ผ่าน ‘เสียงสะท้อน’ ที่ไม่เพียงแต่ได้ยิน แต่สัมผัสได้ในทุกอณูของพื้นที่











Picasso for Asia
นิทรรศการ Picasso for Asia A Conversation หนึ่งในไฮไลท์ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือการนำผลงานของ Pablo Picasso กว่า 60 ชิ้นจาก Musée National Picasso-Paris มาจัดแสดงเคียงคู่กับผลงานจากศิลปินเอเชียกว่า 80 ชิ้น เพื่อเปิดบทสนทนาระหว่างอารยธรรมอย่างลุ่มลึก
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องแสดงนิทรรศการ Picasso for Asia—A Conversation ณ พิพิธภัณฑ์ M+ ในย่าน West Kowloon Cultural District ของฮ่องกง เราถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมบทสนทนาที่ลึกซึ้งระหว่างศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 อย่าง Pablo Picasso กับศิลปินเอเชียหลากหลายรุ่นและเชื้อชาติ
นิทรรศการนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง M+ และ Musée national Picasso-Paris (MnPP) ที่นำเสนอผลงานของ Picasso กว่า 60 ชิ้น ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1890 ถึงต้นทศวรรษ 1970 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษที่ผลงานของ Picasso ได้รับการจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ในฮ่องกง ผลงานที่จัดแสดงมีทั้งภาพวาดและประติมากรรมที่สะท้อนพัฒนาการทางศิลปะของ Picasso อาทิ The Acrobat (1930), Figures by the Sea (1931), Portrait of Dora Maar (1937), และ Massacre in Korea (1951) ซึ่งล้วนเป็นผลงานที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะโลก
ที่น่าประทับใจคือการจัดวางผลงานของ Picasso เคียงคู่กับผลงานของศิลปินเอเชียและศิลปินเอเชียพลัดถิ่นกว่า 130 ชิ้น จากศิลปิน 30 คน ซึ่งรวมถึง Isamu Noguchi, Luis Chan, Gu Dexin, Nalini Malani, Tanaami Keiichi, Haegue Yang และผลงานใหม่จาก Simon Fujiwara และ Sin Wai Kin การจัดวางเช่นนี้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงบทสนทนาทางศิลปะที่ข้ามพรมแดนและเวลาและยังเป็นการสำรวจและตั้งคำถามถึงอิทธิพลของ Picasso ต่อศิลปินเอเชีย และในทางกลับกัน ศิลปินเอเชียเองก็ได้ตีความและตอบสนองต่อผลงานของ Picasso ได้อย่างน่าสนใจ





Sand of Time
อีกหนึ่งนิทรรศการที่น่าสนใจและสืบเนื่องมาจากนิทรรศการของ Pablo Picasso ก็คือ Lee Mingwei: Guernica in Sand การแสดงผลงานศิลปะที่ท้าทายความรู้สึกและความเข้าใจในศิลปะอย่างลึกซึ้ง โดยศิลปินชาวไต้หวัน-อเมริกัน Lee Mingwei ได้ตีความใหม่ของผลงานชิ้นเอก ‘Guernica’ (1937) ซึ่งสะท้อนถึงความโหดร้ายของสงครามกลางเมืองสเปน และเลือกใช้ ‘ทราย’ เป็นวัสดุหลักในการสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ ซึ่งทรายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่จีรังและการเปลี่ยนแปลงในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก การใช้ทรายในการสร้างภาพที่เต็มไปด้วยความโกลาหลและความเจ็บปวดเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามถึงธรรมชาติของความรุนแรงและการทำลายล้าง และเปิดโอกาสให้เราได้พิจารณาถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและการสร้างสรรค์ใหม่
ในช่วงท้ายของนิทรรศการนี้จะมีการแสดงสดอีกครั้งในวันที่ 28 มิถุนายน 2025 โดยผู้ชมจะได้รับเชิญให้เดินบนผืนทรายที่ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ภาพเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เลือนลาง จางหายและถูกทำลาย จากนั้นผู้แสดงจะกวาดทรายอย่างอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ สร้างสรรค์องค์ประกอบใหม่ที่เป็นนามธรรม แสดงถึงวงจรของการสร้างและการทำลายที่กลมกลืนกัน

Master of Haute Couture
ตระการตาไปกับอาภรณ์ชั้นสูงที่รังสรรค์โดยดีไซเนอร์หญิง Guo Pei ในนิทรรศการ Guo Pei : Fashioning Imagination ที่ได้รวบรวมผลงานระดับมาสเตอร์พีซจากคอลเลกชั่นต่างๆ ตลอดการทำงานกว่า 30 ปีของ Guo Pei ที่สะกดสายตาคนทั่วโลกมาแล้ว
Guo Pei คือดีไซเนอร์ชาวจีนผู้เป็นตำนานในวงการโอต์ กูตูร์ นิทรรศการนี้จะเป็นการจัดแสดงผลงานครั้งใหญ่ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกของเธอ โดยนำเสนอชุดแฟชั่นกว่า 40 ชุดที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนโบราณและศิลปะตะวันตกมานำเสนอให้เห็นรายละเอียดสุดประณีตและตระการตา
นิทรรศการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงผลงานแฟชั่น แต่ยังเป็นการสำรวจและเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างแฟชั่น ศิลปะ และวัฒนธรรมที่ Guo Pei ได้พิสูจน์ว่าแฟชั่นสามารถเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมที่ทรงพลังได้อย่างลึกซึ้ง





National Treasures
นอกจากจะได้ชมนิทรรศการของศิลปินเอกและศิลปินร่วมสมัย เรายังได้สัมผัสนิทรรศการที่ได้จัดแสดงศิลปวัตถุอันล้ำค่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของฮ่องกงและจากนานาชาติ ความพิเศษคือการร้อยเรื่องราวของวัตถุต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างมีที่มาที่ไป และแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่อยู่กันคนละมุมโลกได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น A Movable Feast ที่จัดขึ้นที่ HK Palace Museum ซึ่งเป็นนิทรรศการที่ว่าด้วยวัฒนธรรมอาหารจีนที่กินเวลายาวนานกว่า 5,000 ปี ถ่ายทอดผ่านภาชนะ เครื่องดื่ม พิธีกรรม และภาพเขียน เพื่อเปิดประสบการณ์ประวัติศาสตร์ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด
อีกนิทรรศการคือ The Forbidden City and The Palace of Versailles การเปรียบเปรยระหว่างพระราชวังต้องห้ามและแวร์ซายส์ สะท้อนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 17–18 ผ่านวัตถุหายากกว่า 150 ชิ้นจากสองประเทศที่ทำให้เราได้พบความเชื่อมโยงต่อกันอย่างคาดไม่ถึง





Cézanne and Renoir
อีกหนึ่งนิทรรศการที่พลาดไม่ได้คือ Cézanne and Renoir Looking at the World (HKMoA) นิทรรศการครั้งสำคัญที่รวบรวมผลงานของ Paul Cézanne และ Pierre-Auguste Renoir จาก Musée de l’Orangerie และ Musée d’Orsay เป็นครั้งแรกในเอเชีย พร้อมชิ้นงานพิเศษที่จัดแสดงเฉพาะในฮ่องกงเท่านั้น
ภายในนิทรรศการ เราได้สัมผัสกับผลงานศิลปะจำนวน 52 ชิ้นที่ยืมมาจาก Musée de l’Orangerie และ Musée d’Orsay ในฝรั่งเศส ซึ่งผลงานเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองและเทคนิคที่แตกต่างกันของ Cézanne และ Renoir ในการถ่ายทอดโลกที่พวกเขาเห็น
Cézanne ใช้โครงสร้างและรูปทรงในการสร้างภาพที่มั่นคงและลึกซึ้ง เช่น ในผลงาน ‘Apples and Biscuits’ (ประมาณปี 1880) ที่แสดงถึงการจัดวางวัตถุอย่างมีจังหวะและสมดุล. ในขณะที่ Renoir เน้นการใช้แสงและสีเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและบรรยากาศช่น อย่าวในผลงาน “Portrait of Two Girls” (1890–1892) นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงองค์ประกอบเชิงโต้ตอบ เช่น การจำลองชานชาลารถไฟฝรั่งเศส เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสกับบรรยากาศของยุคนั้น และเข้าใจถึงแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังผลงานของศิลปินทั้งสอง .
การเยี่ยมชมนิทรรศการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ทำให้เราได้เข้าใจถึงความหลากหลายและความลึกซึ้งของศิลปะของศิลปินทั้งคู่ รวมถึงถึงอิทธิพลที่ผลงานของ Cézanne และ Renoir มีต่อศิลปินรุ่นหลังนั่นเอง







Spring Sales
ในฐานะศูนย์กลางศิลปะของภูมิภาค ฮ่องกงยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ Christie’s, Sotheby’s, Phillips และ Bonhams โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิ บรรดาแกลเลอรีและองค์กรประมูลเหล่านี้จะจัดนิทรรศการและ Spring Sales อย่างคึกคัก ไม่เพียงเพื่อจำหน่ายผลงาน แต่ยังเพื่อเป็นเวทีแสดงบทบาทของตลาดศิลปะเอเชียในระดับสากลอย่างแท้จริง





#BAZAARThailand #BAZAARArt #HKSAR #HKTB #DiscoverHongKong #Art