Thursday, October 10, 2024
More

    Best LGBTQ+ movies of all time: มัดรวมที่สุดแห่งหนัง LGBTQ+ ที่ห้ามพลาด

    on

    - Advertisement -

    ในวงการภาพยนตร์ มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่สามารถถ่ายทอดความรัก ความเจ็บปวด และความงามของการเป็น LGBTQ+ ได้อย่างลึกซึ้งและทรงพลัง ภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงประสบการณ์และความท้าทายที่ผู้คนในชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความหลากหลายทางเพศและตัวตนของมนุษย์ ในบทความนี้ บาซาร์จะพาคุณไปรู้จักกับภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดแห่งวงการภาพยนตร์ ตั้งแต่ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลระดับโลก ไปจนถึงภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมทั่วโลก พบกับเรื่องราวความรักที่งดงามและทรงพลังที่คุณไม่ควรพลาด

    Paris is Burning (1990)

    “Paris is Burning” เป็นสารคดีที่เล่าถึงวัฒนธรรมบอลรูมในนครนิวยอร์กช่วงปลายทศวรรษ 1980 ภาพยนตร์ได้สำรวจชีวิตและเรื่องราวของชุมชนคนผิวสีและคนเชื้อสายละติน LGBTQ+ ที่เข้าร่วมในฉากบอลรูมที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และพลัง

    ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมป๊อปและการยอมรับของวัฒนธรรมบอลรูมในกระแสหลัก คำศัพท์และท่าเต้นจากบอลรูม เช่น “shade,” “realness,” และ “voguing” กลายเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการบันเทิง

    “Paris is Burning” ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์และได้รับรางวัลมากมาย รวมถึง:

    • รางวัล Grand Jury Prize for Documentary จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ (1991)
    • รางวัล Audience Award for Outstanding Documentary จากเทศกาลภาพยนตร์ลอสแอนเจลิส (1991)

    Brokeback Mountain (2005)

    “Brokeback Mountain” เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกที่บอกเล่าเรื่องราวความรักที่ต้องห้ามระหว่างคาวบอยสองคน Ennis Del Mar (Heath Ledger) และ Jack Twist (Jake Gyllenhaal) ซึ่งพบกันในปี 1963 ขณะทำงานต้อนแกะบนภูเขา Brokeback ในรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาจากมิตรภาพไปสู่ความรักที่ลึกซึ้ง แต่เนื่องจากสังคมในยุคนั้นไม่ยอมรับความรักระหว่างเพศเดียวกัน ทั้งสองต้องปิดบังความรู้สึกและแยกย้ายไปใช้ชีวิตตามเส้นทางของตน

    “Brokeback Mountain” ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์และได้รับรางวัลออสการ์ 3 รางวัล ได้แก่

    • ผู้กำกับยอดเยี่ยม (Ang Lee)
    • บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Larry McMurtry และ Diana Ossana)
    • ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (Gustavo Santaolalla)

    นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกหลายรางวัล รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) และการแสดงยอดเยี่ยมของนักแสดงนำ

    รักแห่งสยาม (Love of Siam) (2007)

    “รักแห่งสยาม” เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกที่เล่าถึงความสัมพันธ์ของ มิว (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล) และ โต้ง (มาริโอ้ เมาเร่อ) เพื่อนสนิทในวัยเด็กที่กลับมาเจอกันอีกครั้งในวัยรุ่น เมื่อโต้งต้องเผชิญกับความสับสนในชีวิตและความรู้สึกที่มีต่อมิว ในขณะที่ครอบครัวของโต้งกำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่หลวง

    “รักแห่งสยาม” ถือเป็นภาพยนตร์ที่มีความสำคัญในวงการภาพยนตร์ไทย เนื่องจากนำเสนอเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ในวัยรุ่น ภาพยนตร์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ LGBTQ+ ที่สำคัญและมีอิทธิพลในประเทศไทย

    อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายจากหลายสถาบัน

    • รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
    • รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
    • รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนต์อวอร์ดส สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

     Moonlight (2016)

    “Moonlight” เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนหนึ่งในสามช่วงเวลาที่แตกต่างกันของชีวิต ภาพยนตร์สำรวจการเดินทางของเขาในการค้นหาตัวตน ความรัก และความหมายของการเป็นเกย์ในสังคมที่มีความยากลำบาก

    “Moonlight” ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์และได้รับรางวัลออสการ์ 3 รางวัล ได้แก่

    • ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture)
    • นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Mahershala Ali)
    • บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay)

    Blue is the Warmest Color (2013)

    “Blue is the Warmest Color” เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวความรักระหว่าง Adèle (Adèle Exarchopoulos) และ Emma (Léa Seydoux) Adèle เป็นนักเรียนมัธยมปลายที่ค้นพบตัวตนของเธอเมื่อได้พบกับ Emma ศิลปินที่มีผมสีน้ำเงิน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาไปอย่างลึกซึ้งและซับซ้อนตลอดช่วงเวลาหลายปี

    “Blue is the Warmest Color” ได้รับรางวัล Palme d’Or จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ในปี 2013 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลนี้ ทั้งผู้กำกับ Abdellatif Kechiche และนักแสดงนำ Adèle Exarchopoulos และ Léa Seydoux ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการแสดงที่ทรงพลังและสมจริง

    Carol (2015)

    “Carol” เป็นภาพยนตร์ดราม่าโรแมนติกที่สร้างจากนวนิยายเรื่อง The Price of Salt โดย Patricia Highsmith เรื่องราวเกิดขึ้นในทศวรรษ 1950 ที่นครนิวยอร์กและเล่าเรื่องราวของความรักระหว่างหญิงสาวสองคน คือ Carol Aird (Cate Blanchett) หญิงผู้สูงศักดิ์ที่กำลังประสบปัญหาการหย่าร้าง และ Therese Belivet (Rooney Mara) หญิงสาวที่ทำงานในห้างสรรพสินค้าและมีความฝันที่จะเป็นช่างภาพ

    “Carol” เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวความรักที่สวยงามและซับซ้อนในยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันยังไม่ได้รับการยอมรับ การแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Cate Blanchett และ Rooney Mara ทำให้ภาพยนตร์นี้เต็มไปด้วยความรู้สึกและความจริงใจ ภาพยนตร์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวความรัก แต่ยังเป็นการสำรวจถึงการค้นหาตัวตนและการยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่น

    “Carol” ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 รางวัล

    • นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Cate Blanchett)
    • นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Rooney Mara)
    • บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Phyllis Nagy)
    • ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม (Sandy Powell)
    • ถ่ายภาพยอดเยี่ยม (Edward Lachman)
    • ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (Carter Burwell)

    Call Me by Your Name (2017)

    Call Me by Your Name เป็นภาพยนตร์ดราม่าแนวโรแมนติกที่สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ André Aciman ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของ Elio Perlman (Timothée Chalamet) เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่ใช้เวลาฤดูร้อนปี 1983 กับครอบครัวของเขาในวิลล่าแสนสวยทางตอนเหนือของอิตาลี ชีวิตของ Elio เปลี่ยนไปเมื่อ Oliver (Armie Hammer) นักศึกษาอเมริกันที่มาฝึกงานกับพ่อของ Elio เดินทางมาพักอยู่กับพวกเขา

    Call Me By Your Name ได้รับการชื่นชมจากนักวิจารณ์และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์หลายรางวัล โดยได้รับรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay) จาก James Ivory นอกจากนี้ Timothée Chalamet ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการเสนอชื่อในสาขานี้

    ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือมีตัวตนแบบไหน ภาพยนตร์ LGBTQ+ เหล่านี้จะพาคุณเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ความงดงาม และความเจ็บปวดของการเป็นมนุษย์ การได้ชมภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่แท้จริงและทรงพลังเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เข้าใจและยอมรับความแตกต่างทางเพศ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน LGBTQ+ และสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม มาร่วมกันสำรวจและเฉลิมฉลองเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อให้เราสามารถสร้างโลกที่ยอมรับและเคารพในความหลากหลายของทุกคน