Photos : Courtesy of Ca’ Di Dio Venice
การเดินทางก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ เราตัดสินใจไปเยือนเมืองเปี่ยมเสน่ห์ที่อบอวลไปด้วยรากเหง้าของวัฒนธรรม ศิลปะ และวิทยาการที่ยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง ‘เวนิส’ เรายังเลือกที่จะเปลี่ยนบรรยากาศและเข้าพักในโรงแรมแสนพิเศษอย่าง Ca’ Di Dio Venice โรงแรมหรูขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ Arsenale District ใจกลางเมืองเวนิส โซนที่จัดแสดงงานศิลปะ Venice Biennale ก่อนจะพบความพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ในโรงแรมที่มีประวัติศาสตร์คู่เมืองเวนิสแห่งนี้
โรงแรมแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร เมื่อเดินเข้ามา เราจะรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่ยุคกลาง ด้วยการตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างสไตล์เวนิสแบบดั้งเดิมและความหรูหราทันสมัย ว่ากันว่า Ca’ Di Dio ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1272 ซึ่งนั่นเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน เดิมทีที่นี่เป็นสถานที่พักฟื้นสำหรับผู้แสวงบุญที่เดินทางมาที่เวนิส ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงให้เป็นโรงแรมหรูที่มีห้องพักทั้งหมด 66 ห้อง แต่ละห้องถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน เรามาพักในห้องสวีทที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราและผ้าลายดอกที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมเวนิสและสัมผัสได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดของการตกแต่งที่คงกลิ่นอายคลาสสิกของเวนิสไว้อย่างเข้มข้น แต่ขณะเดียวกันก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีที่ตัวเราเองก็คาดไม่ถึงสำหรับที่นี่เช่นกัน
สำหรับมื้ออาหาร เราได้สัมผัสกับบรรยากาศและอาหารสไตล์เวเนเทียนแท้ๆ ในช่วงเย็นที่ VERO Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารหลักของโรงแรม ที่นี่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น และทำให้เรารู้สึกถึงความรักและความพิถีพิถันของเชฟได้อย่างดีเยี่ยม บวกกับทัศนียภาพของเมืองเวนิสที่ล้อมรอบอยู่ด้วยแล้ว ที่นี่จะสร้างความทรงจำบทใหม่ให้ใครก็ตามที่มาเยือนร้านอาหารแห่งนี้เหมือนกับเราอย่างแน่นอน นอกจากนี้ บางคืนเรายังมีโอกาสได้นั่งพักผ่อนที่ Alchemia Bar ที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเครื่องดื่มค็อกเทลที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวเหลือเกิน
ถึงอยากจะนั่งอยู่นิ่งๆ เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศมากแค่ไหน แต่ที่โรงแรม Ca’ Di Dio แห่งนี้ก็มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือก เราใช้เวลาช่วงบ่ายที่สปาและศูนย์สุขภาพของโรงแรม ได้รับการนวดและบำบัดเพื่อความผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีห้องฟิตเนสสำหรับออกกำลังกาย และบริการจัดทริปและทัวร์รอบเมืองเวนิส ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้สัมผัสกับความงดงามของเมืองนี้อย่างเต็มที่
หนึ่งในข้อดีของการพักที่ Ca’ Di Dio คือทำเลที่สะดวกสบาย สามารถเดินไปยัง Piazza San Marco ซึ่งเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดในเวนิส ภายในจัตุรัสนี้มี St. Mark’s Basilica และ St. Mark’s Campanile ที่งดงาม นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชม Doge’s Palace ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้เข้าชม Ponte di Rialto ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในเวนิส Santa Maria della Salute ที่มีสถาปัตยกรรมบาโรกที่งดงาม และ Peggy Guggenheim Collection ที่จัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่จากศิลปินแห่งยุค
จากความประทับใจต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังพบว่าโรงแรมแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดย Patricia Urquiola สถาปนิกชื่อดังชาวสเปน ได้ออกแบบโรงแรมให้ใช้เทคโนโลยีน้ำจากทะเลสาบ (Lagoon Water) เพื่อการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้ำจากทะเลสาบสามารถใช้ในระบบแลกเปลี่ยนความร้อน อุณหภูมิที่คงที่ของน้ำทะเลสาบสามารถนำมาใช้ในการทำความร้อนหรือความเย็นในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้อุณหภูมิตามธรรมชาติของน้ำในทะเลสาบ การใช้พลังงานสำหรับการทำความร้อนและความเย็นสามารถลดลงได้อย่างมาก น้ำจากทะเลสาบสามารถนำมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่สำหรับวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่น้ำดื่ม เช่น การรดน้ำต้นไม้ การกดชักโครก หรือเป็นส่วนหนึ่งของหอทำความเย็น ซึ่งช่วยลดความต้องการน้ำจืดและจำกัดปริมาณการใช้น้ำโดยรวมของโรงแรม ในกรณีของ Ca’ di Dio Venice การใช้เทคโนโลยีน้ำจากทะเลสาบคาดว่าจะช่วยประหยัดพลังงานได้ประมาณ 20% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบแบบดั้งเดิมและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 110 ตันต่อปี
การพักที่ Ca’ Di Dio Venice ทำให้ได้มาสัมผัสกับทั้งประวัติศาสตร์และความทรงจำของเมืองเวนิสอีกครั้ง ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่นี่ทำให้เราประทับใจและรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง ต้องยอมรับว่า Ca’ Di Dio ไม่เพียงแต่เป็นโรงแรมที่หรูหรา แต่ยังเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความงดงามและวัฒนธรรมที่ยาวนานของเวนิส ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำโดยแท้