ส่วนผสมกลมกล่อมระหว่างศิลปินใหม่แกะกล่องและรุ่นพี่มากประสบการณ์นับสิบปีในวงการ ได้กวาดเรตติ้งผลงานล่าสุดของเขาและเธอ ความคอนทราสที่เป็นไปได้นี้ยังมีอีกหลายมุมน่าสนใจ มาค้นหาตัวตนสนุกๆ ในอีกหลายมิติของไมกี้ – ปณิธาน บุตรแก้ว และ ญดา – นริลญา กุลมงคลเพชร ที่ไม่แปลกใจเลยว่าอิมแพคที่เกิดขึ้นนั้นไม่เกินจริง
HBZ : ด้วยความที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน พอโคจรมาร่วมงานกันในละครครั้งแรก
Mikey : ผมใหม่มาก งานแสดงเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยศึกษามาก่อน ไม่เคยเข้าใจ ต้องเรียนรู้ใหม่หมดภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน ตอนแสดงจริงครั้งแรก ลืมบทหมดเลยครับ ไม่รู้จะวางมือเอาขาไปไว้ไหน ผมไม่เข้าใจเลยว่านักแสดงละครมีท่าทางยังไง กะพริบตาผมยังไม่กล้ากะพริบ ผมกลัวว่ากล้องจะจับไม่ได้ ทีมไฟ ทีมกล้องรายล้อมรอเราคนเดียว พอเวลาสั่งแอ็คชั่นปุ๊บเงียบหมดแล้วผมเป็นคนเดียวที่พูด กดดันมากครับ พอพูดผิดปุ๊บ เอาละเจ็ดสิบกว่าคนสายตาเพ่งมาที่เรา วันแรกหลายเทคมากมีรีชู้ตด้วย ถ่ายใหม่ไปเป็นสิบใช้ไม่ได้เลย จริงๆ เรื่องขวัญฤทัย ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบผมยังโดนด่าอยู่เลยครับ การเป็นนักแสดงเป็นความท้าทายใหม่ที่ยากมากครับ ดีที่พี่ญดามีคอยช่วยบอกบทให้ผม
Yada : ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเยอะนะคะ เขาต้องเจอกับการรับมือสิ่งใหม่ๆ รอบตัวอยู่แล้ว ป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์) ผู้กำกับ ก็เคี่ยวเข็ญเขาโดยเฉพาะ โฟกัสที่เขาค่อนข้างมาก หนูเองก็ได้แค่ซัพพอร์ตในฐานะนักแสดงคนหนึ่งที่เป็นพาร์ทเนอร์เล่นคู่กับเขา ก็แค่จำบทให้ จำบล็อกกิ้งแค่บางฉากให้นิดหน่อย ซึ่งบทขวัญฤทัยในเรื่องนี้สำหรับญดาก็เป็นเรื่องที่ท้าทายกับตัวเองด้วยเหมือนกัน จะถ่ายทอดออกมายังไงให้คนเชื่อว่าหนูคือเด็กต่างจังหวัดจริงๆ ที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบในเรื่อง แล้วอายุในบทก็คือต่ำกว่าอายุจริงของหนูด้วย ความที่ผ่านการแสดงมาเยอะผ่านบทโหดหนักๆ จะมาเล่นบทอินโนเซนต์กับโลกใบนี้ เหมือนดอกไม้เพิ่งเบ่งบานก็ยากอยู่ค่ะ ต้องใช้เวลาปรับคาแรกเตอร์นานเลย เวิร์คชอปกันเป็นเดือน หนูทำการบ้านรีเสิร์ชตัวละครค่อนข้างเยอะจากชีวิตจริงของคนใกล้ตัว ในละครหนูต้องรับบทเป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกบังคับให้แต่งตัวเป็นเด็กทอมบอย ซึ่งถ้าไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นจริงๆ แสดงออกมาแค่บทห้าวๆ ก็คือเล่นแค่ข้างนอก แต่หนูอยากรู้ความรู้สึกของคนที่ถูกบังคับจากข้างในจริงๆ จึงได้คุยกับพี่คนหนึ่งซึ่งสนิทกันและได้ประโยชน์มาก เขาเป็น LGBT ตอนเด็กเขาอยากแต่งตัวหญิง แต่แม่ไม่ยอมรับเพศสภาพเลยถูกบังคับและต่อว่า พอเราได้เข้าใจความรู้สึกนั้นจึงแสดงออกมาได้ หนูเป็นคนทำการบ้านดูจากชีวิตจริง จะไม่ค่อยเลียนแบบการแสดงจากในหนังหรือในซีรีส์ หนูอยู่ในวงการมาตั้งแต่เด็กอายุสิบสาม ไม่เคยเรียนการแสดง เก็บประสบการณ์จากแต่ละเรื่องที่ได้เล่นไปเรื่อยๆ และหาวิธีของตัวเองว่าการทำงานสไตล์ไหนถึงใช่และเหมาะกับตัวเรา ซึ่งการหาข้อมูลจากคนรอบตัวเพื่อถ่ายทอดบทนั้นๆ ออกมาเป็นเทคนิคที่ใช่สำหรับหนู
HBZ : ญดาผ่านการแสดงมาเยอะพอสมควร มีบทไหนที่อยากเล่นในอนาคตไหม
Yada : ที่ยังไม่เคยเล่นและคิดว่าน่าสนใจคือบทออทิสติคค่ะ เพราะว่าต้องแปลงคาแรกเตอร์ตั้งแต่ภายนอกจนถึงสภาพข้างใน พี่ต่อ (ธนภพ ลีรัตนขจร) เคยเล่นไว้ในเรื่อง Side by side ดีมาก พอเห็นตัวอย่างแล้วจึงอยากรู้ว่าเขาไปถึงจุดนั้นได้ยังไง ถ้ามีโอกาสได้เล่นบทบาทนี้บ้างก็ถือเป็นอีกความท้าทายหนึ่งค่ะ
Mikey : สำหรับผมบทที่อยากเล่นในอนาคต ได้ทุกบทบาทเลยครับ ไม่ติดเลย ผมรู้สึกว่าทุกบทบาทมีความท้าทายต่างกัน มีเสน่ห์ไม่เหมือนกัน ก็สนุกดีนะครับเวลาได้เห็นเสน่ห์ของตัวละคร คาแรกเตอร์ มุมมองที่เราอยากนำเสนอจากตัวละครนั้นไปสู่ผู้ชม มีละครที่เพิ่งถ่ายจบไปอีกเรื่อง ‘หวานรักต้องห้าม’ เกี่ยวกับการนำเสนอมนุษย์ในรูปแบบความเป็นจริง ความเทาของคนเป็นเทาเข้มเลยครับ ซึ่งได้ผู้กำกับพี่นุชชี่ (อนุชา บุญยวรรธนะ) เขาจะเข้มงวดพอสมควร แต่ว่าก็เปิดกว้างมากๆ
HBZ : อะไรคือความยากที่สุดในการทำงานของไมกี้
Mikey : ยากหมดเลยครับเพราะว่าคือการรีเซ็ทศูนย์ใหม่ ถ้าต้องเล่าแบบว่ายากยังไง ต้องเล่าตั้งแต่ชีวิตผมเลย จากเด็กต่างจังหวัดโตที่ลำปาง เพิ่งจบม.6 มีความฝันอยากเป็นคุณครู ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแสดงหรือวงการบันเทิงเลย แค่มากรุงเทพฯ ก็ต้องปรับตัวมากสำหรับเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ยิ่งได้มาทำงาน เจอคนที่มีประสบการณ์ทำงานเยอะมากๆ อีก ก็ต้องปรับตัวยิ่งขึ้นไปอีก ยังไม่นับเรื่องการแสดงที่ผมไม่มีความรู้เลย ผมจึงยิ่งต้องบังคับตัวเองให้โตขึ้นให้ทันพวกเขา เพื่อนผมยังเรียนมหาวิทยาลัยกันต่อ เครียดกันเรื่องสอบ เรื่องเกรด แต่ผมเครียดกับเรื่องงานแล้ว เหมือนต้องมาเริ่มศูนย์ใหม่ ใช้ชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ
ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ราวสามปี แม้ส่วนใหญ่ยุ่งกับการทำงาน แต่มีเหงาบ้างเพราะว่าผมมาคนเดียวอยู่เองคนเดียว ต้องปรับตัวครับ ต้องอยู่ให้ได้ แต่จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยติดนะกับการอยู่คนเดียว เพราะว่าปกติก็หนีเที่ยวคนเดียวอยู่แล้ว ผมชอบขี่มอเตอร์ไซค์เข้าป่าครับ ขี่ไปบ้านเพื่อนบ้าง ไปคาเฟ่ไกลๆ เมืองบ้าง ส้มตำร้านดังสี่สิบกิโลเมตรก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปคนเดียว แต่ที่กรุงเทพขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้เพราะว่าไม่รู้ทางว่าต้องไปยังไง เวลาเหงาที่กรุงเทพฯ ผมเล่นกีตาร์อยู่บ้าน
HBZ : ถ้ามีเวลาว่างหนึ่งวันอยากทำอะไรบ้าง
Mikey : นอนเลยครับ ผมนอนได้สูงสุด 18 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าวันไหนทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วมีวันพัก ผมนอนตื่นขึ้นมาตัวจะซูบไปหมดเพราะนอนยิงยาวจนน้ำระเหยไปหมด ถ้าไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเลยขั้นต่ำผมนอนได้ 12-14 ชั่วโมงเลย ตื่นมากินแล้วก็ยังหลับต่อได้ โดยปกติผมนอนหลังเที่ยงคืน เพราะว่าชีวิตไลฟ์สไตล์การทำงานของวงการบันเทิงตารางเวลาจะคนละไทม์โซนกับคนทั่วไป ผมนอนก่อนเที่ยงคืนนับครั้งได้เลย
Yada : นอนเหมือนกันค่ะ ในหนึ่งวันที่ว่างขอนอนหลายชั่วโมง สมมุตินอนสี่ทุ่มก็อาจจะตื่นสิบเอ็ดโมงไม่ก็เที่ยง กินข้าวเที่ยงแล้วซักบ่ายๆ นอนต่อ แล้วก็นอนกลางคืนต่ออีกทีนึงด้วย
HBZ : เห็นว่าญดา เคยเป็นนักร้อง ส่วนไมกี้เคยเล่นดนตรีเปิดหมวก แสดงว่าทั้งสองคนชอบดนตรี ถ้าให้เลือกเพลงที่ชอบและถ่ายทอดความเป็นตัวเราในเวลานี้ได้ดีคือเพลงอะไร
Yada : ตอนนี้นึกถึงแต่เพลงสวดมนต์ มงคลจักรวาลทั้งแปดทิศในเวอร์ชั่นรีมิกซ์ใหม่เป็นแนวอาร์แอนด์บี เป็นดนตรีของบรูโน่ มาร์ แต่หยิบเสียงสวดมนต์มาใส่ ซึ่งหนูชอบสวดมนต์ ทำบุญ ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิอยู่แล้ว ช่วงนี้เข้าวัดบ่อย ออกจากวัดก็ยังอยากได้ยินเสียงสวดมนต์อยู่ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ไพเราะเลยรู้สึกว่าเพลงนี้เหมาะดี ฟังบ่อยนะคะ แต่พอมาที่สาธารณะไม่กล้าเปิด เขินอาย ขับรถถึงเปิด
เวลาว่างหนูชอบเข้าวัด ปฏิบัติธรรมถือศีลแปด ว่างแค่วันเดียวก็ยังไป ทำมาตั้งแต่อายุ 18-19 ตอนนั้นเราก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่คิดเยอะแล้วเครียดไม่รู้ตัวจนเกือบจะเป็นซึมเศร้า คุณแม่แนะให้หนูไปปฎิบัติธรรม ชวนไปตอนช่วงปีใหม่ลองดูก่อนแค่สามวัน ซึ่งสามวันนั้นเราสงบแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เหมือนได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ จากเด็กที่ไม่สามารถจัดการกับระบบความคิดของตัวเองได้เป็นรู้จักปล่อยวาง ด้วยการทำงานที่ต้องเจอบทดราม่าเยอะบางทีถอดความรู้สึกจากบทนั้นออกไม่ได้ พอเจอวิธีนี้รู้สึกว่าเหมาะกับอาชีพหนูมาก
Mikey : สำหรับผมน่าจะเป็นเพลง Goodbye Yellow Brick Road ของ Elton John ผมว่าเปรียบเสมือนตัว Elton John เค้ามี Yellow Brick Road ที่จะนำพาไปสู่ปราสาท ซึ่งคือวงการบันเทิง ความมั่งคั่ง ความมีชื่อเสียง แต่ว่าเส้นทางนี้ก็มีพาร์ทที่เขารู้สึกว่าอยากจะบอกลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะลาออกจากวงการหรืออะไรนะครับ แค่รู้สึกว่าเป็นพาร์ทที่ทำให้ผมรู้สึกย้อนนึกกลับไปที่ๆ ผมเคยมา ในเนื้อเพลงจะพูดถึงการไม่ได้อยากมีเพนท์เฮาส์ ไม่ได้อยากได้ความร่ำรวย ขอกลับไปอยู่กระท่อมแบบปกติ ซึ่งทำให้ผมไม่ลืมว่าผมมาจากตรงไหน ฟังเพลงนี้แล้วก็จะกินใจตลอด
HBZ : ถ้าเลือกทำอาหารได้หนึ่งเมนู จะทำเมนูอะไรให้คนที่เราชอบ
Mikey : มาม่าปลากระป๋อง ไม่ใช่ๆ พูดเล่นนะครับ สวีดิชแพนเค้ก เป็นเมนูที่ผมทำกินเองกับครอบครัวมาตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวผมตอนแรกอยู่ที่สวีเดนจะกินเมนูประมาณนี้ ไม่ก็สปาเกตตี้มีตบอล วิธีทำสวีดิชแพนเค้ก ถ้ามีแป้งแพนเค้กมิกซ์ก็ดีครับ ก็ใส่แค่แป้งแพนเค้กมิกซ์ นมและไข่ ตั้งกะทะอุณหภูมิต่ำถึงปานกลางฉีดน้ำมันนิดๆ ทำแป้งเป็นแผ่นบางๆ เหมือนเครปฝรั่งเศษ แต่เครปฝรั่งเศสจะกรอบ สวีดิชแพนเค้กจะอีกสไตล์ กินกับแยมผลไม้ไม่ก็ใส่วิปครีม ผมชอบแยมลินกอนเบอร์รี่ ไม่ก็ราสเบอร์รี่เพราะว่าที่บ้านเมื่อก่อนปลูกราสเบอร์รี่ครับ
Yada : อุ้ย! ให้ทำเมนูให้คนที่เราชอบด้วยหรอ เมนูที่หนูคิดว่าน่าจะทำได้แล้วก็ไม่เกิดความผิดพลาดอะไรมากคือ ไข่ต้ม ถ้าที่เคยทำแล้วสามารถกินได้เป็นไข่ต้มแบบสุกธรรมดา แบบยางมะตูมยากไป แต่ไม่รู้ว่าคนที่เราชอบเขาจะอยากกินหรือเปล่านะ ไข้ต้มกับซอสเมนูในเดตแรกของเรา
HBZ: ถ้ามีไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปได้ หรือสามารถข้ามเวลาไปอนาคตได้ อยากเลือกแบบไหนหรือเลือกทั้งสอง
Yada : เลือกข้ามไปในอนาคตค่ะ หนูเป็นคนชอบดูดวง อยากรู้ว่าการกระทำของเราในวันนี้จะส่งผลอะไรกับเราในวันข้างหน้า อยากรู้ว่าวันที่เราตายจากโลกนี้จะอยู่ที่ไหนหรือเป็นใคร นี่คือสิ่งเดียวที่เราไม่รู้ ส่วนตัวเชื่อในกฏแห่งกรรม เชื่อในเรื่องของการกระทำ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติของโลกใบนี้ สมมุติว่าเราปรบมือเบาๆ เสียงที่สะท้อนกลับมาก็เบา ถ้าเราปรบดัง เสียงที่สะท้อนกลับมายังไงก็ดัง วันนี้ก็ดูดวงฉ่ำค่ะคือหนูชอบดูดวงมากมีอาจารย์คนหนึ่งที่เขาดูหนูแล้วแม่นมาก เลยส่งคุณแม่ไปเรียนดูดวงกับเขา เป็นศาสตร์ไพ่ชื่อพรหมญาณ ตอนนี้ได้คุณแม่ดูดวงให้ทุกวัน คุณแม่ก็ดูตรงค่ะ ปกติคุณแม่จะมาทำงานกับหนูตลอด แต่วันนี้มากับหนูไม่ได้เพราะติดลูกค้าดูดวงค่ะ
Mikey : ผมขอไม่เลือกทั้งสองช้อยส์เลย รู้สึกว่าถ้าย้อนเวลาได้ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอยู่ดี ผมก็ทำเหมือนเดิมอยู่ดี หรือถ้าผมไปอนาคตได้และรู้อะไรก็จะไม่ตื่นเต้น ชีวิตจะไม่สนุกถ้าเรารู้อะไรไปทั้งหมดครับ
HBZ : คิดว่าเวลาสำคัญยังไงสำหรับเรา และชอบช่วงเวลาไหนที่สุดของวัน
Mikey : เวลาสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งเดียวที่เงินซื้อไม่ได้ ช่วงเวลาที่ผมชอบคือพระอาทิตย์ขึ้นครับ รู้สึกอบอุ่นแต่ไม่ร้อน มีครูผมเคยพูดไว้แค่คำสั้นๆ เป็นเหมือนคติเตือนใจเวลาท้อ “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว” เมื่อไหร่ที่พระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นวันถัดไปแล้ว
Yada : เวลาสำคัญมากในความคิดหนูเช่นกัน เป็นสิ่งที่หนูกลัว เพราะเวลาเป็นสิ่งที่เราคอนโทรลไม่ได้ แล้วเวลาทำให้หนูเกิดความรู้สึกหลายอย่าง ทำให้หนูคิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต แล้วเวลาก็ทำให้หนูพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ซึ่งเราก็ไม่สามารถหยุดเวลาได้ เวลาทำให้ทุกอย่างรอบตัวเราแม้กระทั่งตัวเราเองเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา เราไม่สามารถฟรีซสิ่งนั้นได้ ถ้าเป็นไปได้สิ่งหนึ่งที่อยากได้มากที่สุดและปรารถนามาตลอดคืออยู่เหนือกาลเวลา ไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป ช่วงเวลาที่ชอบมากที่สุดเป็นกลางคืนค่ะ แบบเที่ยงคืน เงียบสงบที่สุด ชอบนั่งสมาธิกลางคืน เวลานั่งสมาธิจะเกิดปัญญาบางอย่าง คำถามที่อยู่ในใจเราหรือแผลบางอย่างในใจที่เหมือนตะกอนหินปูนกัดกินหัวใจโดยที่บางทีเราไม่รู้ตัว พออยู่ในสมาธิถึงขั้นที่สงบมากๆ จะเกิดปัญญาคลี่คลายให้คำตอบกับเราจนแผลนั้นหายไป เหมือนรักษาใจตัวเอง
ส่วนมากเวลานั่งสมาธิโดยปกติจะให้ยึดลมหายใจ บางคนก็โฟกัสไม่ได้อย่างหนูนี่หลับเลยค่ะ ยิ่งเหนื่อยๆ แล้วด้วย วิธีที่หนูคิดว่าเวิร์คมากแล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ คือการเดิน โฟกัสความรู้สึกที่ขา ตอนนี้เรากำลังก้าวเท้าขวา ก้าวเท้าซ้าย ความคิดของเราจะอยู่ที่การเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ไปฟุ้งกับอนาคตหรืออดีต หนูใช้เวลาอยู่กับตัวเองประมาณ 40-50 นาที เหมือนเป็นการออกกำลังกายอีกทางนึงด้วยค่ะ
“ผมวางอาชีพนักแสดงไว้เป็นอาชีพหลักของชีวิต แต่ความเป็นครูที่เคยฝันไว้ก็ยังอยู่ในตัวผม ทุกคนล้วนเป็นครูซึ่งกันและกัน มุมมองความคิดเห็นของชีวิตผม อาจเป็นข้อคิดไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เมื่อก่อนผมเคยเชื่อว่าชีวิตเราเหมือนตามกระแสน้ำ ไหลไปตรงไหนก็จบที่ตรงนั้น แต่ว่าบางทีถ้าเราหลงทางแล้วเราไหลไปผิดทาง ก็อาจทำให้ชีวิตพังได้ สำหรับผมการมีเป้าหมายชีวิตในหลายๆ ระยะ มีผลมากสำหรับการตัดสินใจใช้ชีวิตในแต่ละวัน”
“จากเด็กที่ไม่สามารถจัดการกับระบบความคิดของตัวเองได้ กลายเป็นรู้จักปล่อยวางเป็นจากการทำสมาธิ ญดาเชื่อในเรื่องของการกระทำ กฎแห่งกรรมเป็นกฏธรรมชาติของโลกใบนี้ สมมุติว่าปรบมือเบา เสียงที่สะท้อนกลับมาก็เบา ถ้าปรบดัง เสียงที่สะท้อนกลับมาก็ดัง”