HB: ช่วยเล่าถึงประสบการณ์การทำงานไทม์ไลน์ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน มีช่วงไหนที่หวนคิดถึง, รู้สึกท้าทาย, ช่วงที่เป็นรางวัลของเราบ้าง
Mim: “ส่วนตัวมิ้มเป็นคนสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ ตั้งแต่เด็กหนูก็ทำงานตั้งแต่อายุแปดขวบ งานครั้งแรกคือไปเดินแบบที่สยามพารากอน แต่ไม่ติดเข้ารอบนะคะเพราะว่าเดินเร็วไป จึงลองไปสมัครใหม่อีกรอบ เพราะรอบที่แล้วรู้ว่าผิดพลาดตรงไหน รอบที่สองเลยได้เข้ารอบแล้วก็ได้ถ่ายแบบ นี่คือการเข้าวงการบันเทิงครั้งแรกของหนูเลยค่ะ หลังจากนั้นหนูก็ได้เล่นซีรีส์เรื่อง ‘วุ่นนักรักเต็มบ้าน’ เป็นซีรีส์เรื่องแรกในชีวิต หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณามาเรื่อยๆ บางทีไปรอตั้งแต่เที่ยงจนถึงสี่โมงเย็น แคสเป็นสิบงานไม่ได้สักงานก็มีค่ะ แคสงานมาเรื่อยๆ บางทีเป็นเอ็กซ์ตร้าบ้าง จนช่วงอายุสิบห้าได้มาเล่นละครเรื่อง ‘วาสนารัก’ ตอนไปแคสงานคนเยอะมากไม่คิดว่าจะได้ หลังจากเรื่องวาสนารักก็ยังไม่มีงานต่อ ช่วงนั้นเริ่มท้อแล้วเลยคิดว่าหรือทางนี้ไม่ใช่ทางของเรา กลับไปตั้งใจเรียนดีกว่า ตอนนั้นเป้าหมายจึงคือการเรียนนิติศาสตร์ เป็นอัยการหรือผู้พิพากษาค่ะ หนูหายจากวงการประมาณ 2-3 ปี วันนึงมีไดเร็กแมสเสจทักเข้ามาชวนไปแคสภาพยนตร์ ‘ธี่หยด’ ตอนนั้นคิดว่าทำไมต้องตัดผมสั้นด้วยเพราะเราเป็นคนหวงผมมากๆ แต่ก็โอเคลองไปแคสดูสักตั้ง จากที่เคยยอมแพ้แล้วลองดูอีกครั้งก็ได้ เชื่อว่าต้องมีสักวันนึงที่เป็นวันของเรา สรุปคือได้เล่นภาพยนตร์ ธี่หยด ทำให้หนูเป็นมิ้ม แล้วก็ได้ให้โอกาสหนูจนถึงทุกวันนี้ค่ะ”



มีนเล่าบ้าง “สำหรับผมสมัยก่อนเป็นเด็กเรียน ตั้งใจเรียนเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี แต่พอวันหนึ่งคิดว่าแค่เรียนอย่างเดียวคงไม่พอ เลยพยายามทำอะไรหลายอย่าง จนมาเจองานในวงการบันเทิง ตอนแรกเข้ามาก็เพราะสนุกดี รู้สึกว่าชีวิตตัวเองจริงๆ น่าเบื่อ แต่การเป็นตัวละครไม่น่าเบื่อเลย สนุกที่ได้ศึกษาความเป็นมนุษย์จากตัวละคร ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.6 งานก็มีบ้างนิดๆ หน่อยๆ โฆษณา ถ่ายแบบ เอ็มวี ซีรีส์บทรองๆ แต่งานก็ไม่สามารถเลี้ยงดูเราได้แถมเสียเงินค่าเข้ากรุงเทพฯ ค่าสังคมมากกว่าอีก เลยตัดสินใจบอกผู้จัดการ ถ้าเข้ามหาลัยแล้วยังไม่มีแววว่าจะยึดเป็นอาชีพได้ คงขอไปโฟกัสที่การเรียนดีกว่า แต่สุดท้ายได้บทหลักในซีรีส์เรื่องหนึ่ง เลยเชื่อมาตลอดว่าวงการนี้คงต้องการเราอยู่ (หัวเราะ)




HB: มองตัวเองในอนาคตแต่ละช่วงอายุไว้อย่างไรบ้าง
Mim: “ถ้าถามว่ามิ้มมองชีวิตตัวเองในวัย 30 หรือ 40 ปีไว้แบบไหน สำหรับหนูเป้าหมายตอนนี้คืออยากทำงานเก็บเงิน ครอบครัวหนูเป็นครอบครัวใหญ่ทั้งบ้านมีทั้งหมดหกคนรวมพ่อกับแม่ด้วย อยากมีบ้านหลังหนึ่งที่เป็นบ้านอบอุ่นให้น้องๆ แล้วก็พ่อแม่ มีรถหนึ่งคันเป็นรถครอบครัว ความฝันอีกอย่างหนึ่งอาจจะไปทำธุรกิจส่วนตัวหรือทำอะไรที่เราชอบ ส่วนหนึ่งด้วยคิดว่าตอนนี้ในวงการบันเทิงมีคนใหม่ๆ เข้ามาเยอะ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นตัวเองจะได้ทำงานในวงการบันเทิงอยู่ไหม ถึงตอนนั้นอาจจะมีครอบครัวแล้วก็ได้ คงจะมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากจะเป็นแฟนที่ดี ถ้ามีลูกก็อยากจะเป็นแม่ที่ดีของลูกค่ะ”


Mean: “ผมมองตัวเองวัยสามสิบว่าต้องมั่นคงในอาชีพ ระหว่างนี้พยายามหาเส้นทางตัวเอง ส่วนช่วงอายุสี่สิบ คงมีครอบครัวแล้ว ใช้ชีวิตอีกแบบ มีอิสระในการรับงาน เลือกในสิ่งที่เราอยากทำเท่านั้น มีชีวิตที่ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ช่วง 40-55 ขอมีอิสระหน่อยแล้วกัน หลังจากนั้นอาจต้องไปกังวลเรื่องสุขภาพแล้ว”


HB: ช่วงเวลาที่ตัวเองรู้สึกว่าโรแมนติกที่สุด
Mean: “เชื่อไหมครับ ปกติผมเป็นคนไม่หวานเลย แสดงออกหวานๆ ไม่เป็นมากๆ คงเป็นช่วงเวลาที่มีความรักละครับถึงจะโรแมนติกได้ ถ้าอยู่กันสองต่อสองก็อาจจะมีบ้าง แต่ถ้ามีคนอื่นจะขี้อายไม่กล้า เขินนะครับ”
Mim: “สำหรับมิ้ม คิดว่าคงเป็นช่วงที่เรามีความรักค่ะ คงเป็นช่วงโรแมนติกที่สุด แล้วถ้าถามว่าจะทำอะไร หนูก็อยากจะดูแลเขา เอาใจใส่เขา อยากจะซัพพอร์ตเขา หนูจะเป็นคนที่เขาหันมาเมื่อไหร่ก็จะมีหนูอยู่ข้างๆ เสมอค่ะ อยากให้เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุดที่ได้เจอหนูค่ะ”
